ก่อนที่จะหันมานับถือพระพุทธศาสนา กลุ่มชนชาติไท-กะได นับถือ "เงือก" (จีน = 龍) ต่อมาภายหลังรับศาสนาพุทธเข้ามาก็เปลี่ยนมาเรียกว่า "นาค" ตามภาษาบาลี-สันสกฤตของอินเดีย
และการที่จีนปรับเปลี่ยน "หลง" (龍) ให้เข้ากันกับคติพุทธสายเหนือที่รับมาจากอินเดียผ่านเส้นทางสายไหม ทำให้หลงจีนแพ้ครุฑ พร้อมกับเรียกหลงอีกชื่อในภาษาบาลี-สันสกฤตรูปคำจีนว่า "หน้าเจีย" (那迦) ซึ่งตรงนี้ก็เหมือนกับไทยที่ปรับเปลี่ยน "เงือก" ให้เข้ากันกับคติพุทธสายใต้ที่รับมาจากอินเดียผ่านเส้นทางสายเครื่องเทศ ทำให้เงือกไทยแพ้ครุฑ พร้อมกับเรียกเงือกอีกชื่อในภาษาบาลี-สันสกฤตรูปคำไทยว่า "นาค"
เรียกได้ว่า "หลง" (龍) และ "หน้าเจีย" (那迦) เป็นเสมือนคำไวพจน์ Dragon of Chinese ที่สามารถใช้แทนกันได้อยู่เสมอ
ก็เหมือนกับไทย คือ "เงือก" และ "นาค" เป็นคำไวพจน์ Dragon of Thais ที่สามารถใช้แทนกันได้อยู่เสมอเช่นกันไม่ต่างกับหลงของจีน อย่างวรรณกรรมในสมัยอยุธยาก็มักจะแต่งประพันธ์โดยใช้คำว่า "เงือก" และ "นาค" สลับกันไปมา เหมือนกับจีนที่ใช้ "หลง" (龍) กับ "หน้าเจีย" (那迦) หรือ "เผิง" (鵬) กับ "เจียโหลวหลอ" (迦樓羅) แทนกัน
ตำนานแห่งนาค (Dragon)
เพลง บั้งไฟพญานาค (中文)
ทุกวันนี้ชาวจ้วงก็ยังเรียกว่าเงือก (龍) อยู่ และภาพด้านล่าง คือ ประเพณีแห่เงือกใบตองของชาวจ้วง
ประเพณีแห่เงือกใบตองของชาวจ้วง
แม่น้ำโขงในเขตจีน คนจีนเชื่อว่าหลง (龍) อาศัยอยู่ ใต้ลงมาเข้าเขตไทย คนไทยเชื่อว่านาค (नाग) อาศัยอยู่ มีนามขานเรียกเท่ๆ ว่า The River of Nine Dragons (แม่น้ำนวนาค)
แม่น้ำ = River | นว = Nine | นาค = Dragon > ภาษาจีน = 九龍江 [ควรเรียกว่า "แม่น้ำนวนาค" ไม่ใช่ "แม่น้ำเก้ามังกร"]
แม่น้ำนวนาค (九龍江)
The River of Nine Dragons
"จูล่ง" หรือ "จื่อหลง" (子龍) ในวรรณกรรมสามก๊ก แปลเป็นชื่อไทยได้ว่า "นาคบุตร" ไม่ใช่ "บุตรมังกร"
จูล่ง (子龍)
หรืออย่างชื่อของพระนาคเสนในมิลินทปัญหา ตรงคำว่า "นาคเสน" (Nagasena) ที่เป็นภาษาบาลี-สันสกฤตนั้น ในภาษาอังกฤษแปลความหมายได้ว่า "Army of Dragons" หรือ "Host of Dragons"
พระนาคเสน (Nagasena)
กับ พระเจ้ามิลินท์ (Milinda)
แล้วความเชื่ออีกอย่างที่เหมือนกันเกี่ยวกับเรื่อง Dragon ของระหว่างไทย-จีน คือ นาคไทยกับนาคจีนจะคายอัญมณีหรือแก้วศักสิทธิ์ดวงกลมๆ ออกมาจากทางปากทางน้ำลาย รวมไปถึงการลอกคราบของนาคไทยกับนาคจีนที่เหมือนกัน
ศิลปะหลงจีน (玉猪龙) ยุคต้นๆ
ลักษณะตัวเป็นงูแต่มีหงอน
ขงจื้อเคยกล่าวยกย่องเล่าจื้อไว้ว่า
“鸟,吾知其能飞;兽,吾知其能走;走者可以为罔,游者可以为纶,飞者可以为矢曾。至于龙,吾不能知其乘风云而上天。吾今日见老子,其犹龙邪!”,就是说,老子在揭示一种代表天意的“道”,这个“道”是人所不能左右的,人只能顺从它,而不能违抗它,而“鸟,吾知其能飞”等等道理,是一般人都知道的,因此大家也能够掌握和对付的。
สัตว์ปีกบินแน่ๆ เราใช้ตาข่ายดักได้ สัตว์บกเดินแน่ๆ ก็มีกับดัก ดักได้ หากแต่นาคนั้น ไม่รู้ว่าจะเล่นเมฆล่อลม บินเหิน เหาะดั้นฟ้า หรือไปทางไหน ปัญญาคุณธรรมเล่าจื้อ ดุจดั่งนาค ฯ