Kuruni   09-16-2014, 11:54 AM
#1
เรื่องก็มีอยู่ว่ากระผมอยากจะลองเอางานคลาสสิกมาแปลขายบน Google Play ดู แล้วก็ไปจับงานสมบัติสาธารณะ (Public Domain) เพราะยังไม่กล้าซื้ออะไรมาแปล เลยเลือกแปลโคแนนสักตอนนึงก่อน

ปรากฏว่าแปลจนจบแล้ว ถึงได้รู้ว่าถึงงานของอาจารย์แกจะไม่มีลิขสิทธิ์ แต่ชื่อโคแนนเองเป็นสัญลักษณ์การค้า (Trademark) ของ Conan Properties International ซึ่งไม่มีอายุและเอามาใช้พร่ำเพรื่อไม่ได้ ลองร่ายE-Mailไปถามดูว่าเอามาแปลขายได้หรือเปล่า ทางโน้นตอบกลับมาไวใช้ได้ว่าต้องให้สำนักพิมพ์มาติดต่อขอรับอนุญาตเอง ผมเองก็เห็นว่าเรื่องนี้ที่มีขายในGoogle Play ถ้าเรื่องเดียวมันก็แค่ 30 กว่าบาท เอามาให้โหลดฟรีน่าจะเวิร์กกว่า เลยถามไปอีกรอบว่าถ้าจะแจกฟรีล่ะได้หรือไม่...ปรากฏว่าเงียบหาย

อย่ากระนั้นเลย ไหนๆก็แปลจนจบแล้ว แจกมันตามบอร์ดตามเว็บซะนี่ล่ะ ไม่ให้เสียเปล่า (แนบไฟล์ docx ไว้ในโพสต์นี้ครับ เพราะยาวใช้ได้)

บอกได้เลยว่าเรื่องนี้เป็นแฟนตาซีที่ออกจะติดดิน แต่ไม่เชยแน่ครับ ผมเลือกใช้สำนวนลิเกนิดๆให้เข้ากับงานแฟนตาซี จะติชมสำนวนแปลยังไงก็ว่ามาได้ครับ

ปล.ตอนนี้ก็กำลังแปลงานของอ.เลิฟคราฟท์อยู่ คราวนี้น่าจะไม่มีปัญหาอะไร...
Attached Files
.docx
the_tower_of_the_elephant.docx (Size: 77.6 KB Downloads: 9)
This post was last modified: 09-16-2014, 11:41 PM by Kuruni.
jin Away   09-16-2014, 03:38 PM
#2
รอเลิฟคราฟมากกว่าครับ ถ้างั้น เพราะส่วนตัว โคแนน รู้สึกเฉยๆ แต่ถ้าเป็นเลิฟคราฟ จะแฮปปี้ดี้ด้ามาก

https://www.facebook.com/guless.jn สมุดหนังหน้าสำหรับการตามข้อมูลรั่วๆ ที่หื่นบ้างอะไรบ้าง
Kuruni   09-16-2014, 03:57 PM
#3
เผื่อไม่เห็น ผมแปะเป็นไฟล์แนบในโพสต์แรกแล้วเน้อ (หรือขี้เกียจเปิด Word กัน? โพสต์บอกมาคืนนี้จะแปะทีละโพสต์ให้)

ปล.ตอนนี้มีกล่าวถึงแดนไฮเปอบอเรียนิดๆ คือมันก็โยงกับตำนานคธูลูแบบห่างๆอยู่น่ะนะ
This post was last modified: 09-16-2014, 04:00 PM by Kuruni.
Kuruni   09-16-2014, 11:28 PM
#4
เผื่อใครไม่สะดวกเปิดเวิร์ด (จริงๆน่าจะทำเป็นPDFก่อนแฮะ ผมผิดเอง)

เกริ่นเล็กน้อย ตอนนี้จริงๆแล้วเป็นตอนที่แนะนำกันว่าถ้าใครไม่เคยรู้จักพี่บึ้กของเราก็ควรเริ่มจากตอนนี้เลยล่ะครับ

I

คบไฟส่องแสงสลัวในย่านเริงรมย์แห่งเมืองมาอุล ที่ซึ่งเหล่าหัวขโมยแห่งแดนตะวันออกจัดงานรื่นเริงในยามค่ำคืน ในมาอุลนั้นพวกมันสามารถร่ำสุราและโห่ร้องได้ตามใจ ด้วยว่าเหล่าสุจริตชนนั้นได้หลีกเลี่ยงละแวกนั้น และพวกทหารยามที่ได้รับค่าจ้างอย่างงามเป็นเหรียญเขรอะก็มิได้เข้ามาขัดขวางกิจกรรมของพวกมันแต่อย่างใด เหล่าผู้เมามายเดินโงนเงนและตะโกนไปท่ามกลางถนนดินอันคดเคี้ยวกับกองขยะและแอ่งน้ำสกปรกนั่น ในเงามืดที่สุนัขป่าไล่ล่าสุนัขป่าด้วยกันนั้นมีประกายของเหล็กกล้า และเสียงหัวเราะโหยหวนของอิสตรีกับเสียงของการต่อสู้ดิ้นรนก็ออกมาจากความมืด แสงสลัวของคบไฟลามเลียตามหน้าต่างแตกๆกับประตูที่เปิดอ้าไว้ และจากประตูเหล่านั้น กลิ่นอับของไวน์และสาปเหงื่อ เสียงจอกเหล้ากับกำปั้นที่ทุบลงบนโต๊ะหยาบๆ และวลีจากเพลง ก็หลั่งล้นออกมาราวกับจะกระแทกใส่ใบหน้า

เสียงเฮฮาดังลั่นอยู่ใต้หลังคาเปื้อนควันของหนึ่งในรังโจรเหล่านี้ ที่ซึ่งเหล่าทุรชนสุมหัวกันจากทุกระดับ—นักกรีดกระเป๋าผู้มีเลศนัย โจรลักพาตัวที่มีนัยน์ตาลอกแลก หัวขโมยจอมมือไว นักฆ่าผู้กรีดกรายมาพร้อมกับสตรีของมัน หญิงสาวผู้มีเสียงแหลมซึ่งแต่งกายอย่างหรูหรา พวกที่เห็นอยู่มากนั้นเป็นเหล่าวายร้ายพื้นเมือง—ชาวซามอเรียนผิวคล้ำตาดำ ผู้มีกริชอยู่ที่เข็มขัดและมารยาอยู่ในหัวใจ แต่ก็มีเหล่าสุนัขป่าจากแคว้นอื่นอีกกว่าครึ่งโหลด้วยเช่นกัน มีทหารหนีทัพร่างยักษ์ชาวไฮเปอบอเรียน เงียบขรึม อันตราย และมีดาบใบกว้างผูกติดกับร่างอันผอมสูงของเขา—ด้วยว่าเหล่าบุรุษนั้นพกพาอาวุธอย่างเปิดเผยในมาอุล มีนักทำของปลอมชาวเชมิทิช ผู้มีจมูกงองุ้มกับเคราดำครึ้มเป็นลอน มีสตรีตาคล้ำชาวบริธูเนียน ผู้นั่งอยู่บนเข่าของชาวกุนเดอร์มันผมสีน้ำตาลอ่อน—ทหารรับจ้างเร่ร่อนที่หนีทัพจากกองทหารที่แตกพ่ายสักกอง แล้วก็ทุรชนผู้อ้วนพลุ้ยซึ่งเรื่องตลกหยาบโลนของมันทำให้เกิดเสียงตะโกนอันรื่นเริงนั้น ก็คือโจรลักพาตัวมืออาชีพผู้มาจากจากแคว้นคอธอันห่างไกลเพื่อสอนเรื่องการลักพาตัวอิสตรีให้แก่ชาวซามอเรียนด้วยความรู้ถึงศาสตร์นี้ที่มีมาแต่เกิดมากกว่าจะที่ได้เรียนเสียอีก

ชายผู้นี้พักคำบรรยายถึงเสน่ห์ของเหยื่อที่หมายตาไว้ แล้วยื่นปากไปหาเหยือกใส่เหล้าเป็นฟองเหยือกใหญ่ ก่อนจะพ่นฟองออกจากริมฝีปากหนาโดยกล่าวว่า “แด่เบล เทพแห่งหัวขโมยทั้งปวง ข้าจะสอนพวกมันถึงการขโมยสตรี ข้าจะพานางไปพ้นชายแดนซามอเรียนก่อนรุ่งอรุณ และที่นั่นจะมีกองคาราวานรอรับนางอยู่แล้ว เคาท์แห่งออฟีร์สัญญากับข้าจะจ่ายสามร้อยเหรียญเงินให้สาวน้อยชาวบริธูเนียนชั้นสูงสักคน ข้าใช้เวลาหลายสัปดาห์ร่อนเร่ไปตามพรมแดนในคราบของขอทานเพื่อหาใครสักคนที่ใช้การได้ แล้วนางก็เป็นสินค้าที่สวยงามจริงๆ!”

เขาจุมพิตกับอากาศ

“ข้ารู้จักเหล่าขุนนางแห่งเชมที่พร้อมจะแลกความลับของหอคอยคชสารกับนางด้วย” เขาว่าก่อนจะดื่มต่อ

สัมผัสบนแขนเสื้อทำให้เขาหันไปแค่นเสียงที่ถูกขัดจังหวะ เขาเห็นชายหนุ่มร่างสูงกำยำยืนอยู่ถัดไป คนผู้นี้ดูผิดที่ผิดทางในรังโจรนั้นเหมือนสุนัขป่าสีเทาท่ามกลางฝูงมุสิกโสโครกในท่อน้ำ เสื้อคลุมราคาถูกของเขาไม่อาจปิดเร้นโครงร่างอันบึกบึนทรงพลังได้ ไหล่กว้างหนา อกผึ่งผาย เอวคอด และแขนที่หนาหนัก ผิวกายนั้นเป็นสีน้ำตาลด้วยแสงอาทิตย์ต่างแดน ดวงตาสีฟ้าแจ่มใส ผมสีดำสั้นเป็นกระเซิงปรกหน้าผากกว้างนั้น ที่เข็มขัดของเขาสะพายดาบซึ่งอยู่ในฝักหนังคร่ำคร่า

ชาวคอเธียนผงะไปโดยไม่ตั้งใจ ด้วยว่าชายผู้นี้มิใช่เผ่าเจริญที่เขารู้จัก

“เจ้าพูดถึงหอคอยคชสาร” คนแปลกหน้าเอ่ยขึ้นเป็นภาษาซามอเรียนที่มีสำเนียงต่างถิ่น “ข้าได้ยินเรื่องของหอคอยนี้มามากนัก ความลับของมันคืออะไร?”

ท่าทางของคนผู้นั้นมิได้เป็นการคุกคามและสุราก็ทำให้ความกล้าหาญของชาวคอเธียนใหญ่โตขึ้น ประกอบกับที่เห็นท่าทีเออออจากผู้ที่ฟังเขาอยู่ เขาจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกสำคัญตนทีเดียว

“ความลับของหอคอยคชสารงั้นหรือ?” เขาร้อง “ทำไม คนโง่ที่ไหนก็รู้ว่านักพรตยาราอยู่ที่นั่นกับมหามณีที่ผู้คนเรียกกันว่าหัวใจคชสาร นั่นล่ะคือความลับแห่งเวทมนตร์ของเขา”

คนเถื่อนครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่อึดใจ

“ข้าเห็นหอคอยนั่นแล้ว” เขากล่าว “มันอยู่ในสวนใหญ่ซึ่งสูงกว่าพื้นของเมืองนี้ รายล้อมด้วยกำแพงสูง ข้าไม่เห็นยาม กำแพงนั่นควรจะปีนได้ง่าย ทำไมถึงไม่มีใครขโมยมณีลับนั่นไป?”

ชาวคอเธียนอ้าปากมองความเรียบง่ายของอีกฝ่าย ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะเย้ยหยันออกมาซึ่งทำให้คนอื่นหัวเราะตาม

“ฟังเจ้าคนเถื่อนนี่สิ!” เขาร้อง “มันจะขโมยมณีของยารา! ฟังสิสหาย” เขากล่าวแล้วหันไปหาอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ “ข้าว่าเจ้าคงเป็นพวกคนป่าจากทางเหนือ—“

“ข้าเป็นชาวซิมเมอเรียน” คนต่างถิ่นตอบด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร คำตอบและท่าทีนั้นแทบไร้ความหมายต่อชาวคอเธียน ซึ่งเป็นอาณาจักรที่อยู่ไกลไปทางใต้ติดพรมแดนของเชมนั้น เขารู้จักชนเผ่าทางเหนือเพียงผิวเผินเท่านั้น

“งั้นก็เงี่ยหูแล้วเรียนรู้ไว้นะ สหาย” เขาว่าพร้อมยื่นจอกเหล้าไปทางชายหนุ่มที่มีท่าทีอึดอัด “จงรู้ไว้ว่าในซามอเรียน โดยเฉพาะในเมืองนี้ มีหัวขโมยที่กล้ายิ่งกว่าที่อื่นใดในโลก แม้แต่คอธ หากมีคนเป็นๆจะขโมยมณีนั่นมาได้ มันก็ต้องถูกเอามาเสียนานแล้ว เจ้าพูดเรื่องปีนกำแพง แต่เมื่อปีนขึ้นไปแล้ว เจ้าก็จะหวังให้ตัวเจ้ากลับไปอย่างเร็วเลย ที่ไม่มียามในสวนตอนค่ำคืนนั้นมีเหตุผล—คือไม่มียามที่เป็นคน แต่ในห้องสังเกตการณ์ที่อยู่ส่วนล่างของหอคอยนั้นมีกลุ่มคนติดอาวุธ และถึงเจ้าจะผ่านพวกที่ท่องอยู่ในสวนยามราตรีได้ เจ้าก็ต้องฝ่ากองทหารไปอยู่ดี เพื่อที่จะไปถึงมณีที่เก็บไว้ที่ไหนสักแห่งสูงขึ้นไปบนหอคอยนั่น”

“แต่หากมีผู้ที่ผ่านสวนนั้นไปได้” ชาวซิมเมอเรียนเถียง “ทำไมเขาจึงจะไม่ไปหามณีนั่นทางด้านบนหอคอยแล้วก็เลี่ยงกองทหารไปด้วย?”

ชาวคอเธียนอ้าปากอึ้งใส่เขาอีก

“ฟังมันสิ!” เขาตะโกนเยาะเย้ย “คนเถื่อนผู้นี้เป็นนกอินทรีที่จะบินขึ้นไปยังขอบฝังเพชรพลอยของหอคอยนั่น ซึ่งอยู่สูงจากดินไปเพียงหนึ่งร้อยกับห้าสิบฟิตเท่านั้น แล้วก็มีด้านข้างโค้งซึ่งเรียบลื่นยิ่งกว่าแก้วที่ขัดถูแล้ว!”

ชาวซิมเมอเรียนขึงตามอง รู้สึกอายกับเสียงหัวเราะเย้ยหยันที่มากับคำกล่าวนั้น เขาไม่เห็นสิ่งใดขบขันเลย และก็ยังใหม่ต่อวัฒนธรรมนี้เกินกว่าจะเข้าใจความหยาบคายของมัน โดยทั่วไปแล้วพวกผู้เจริญจะหยาบคายกว่าคนป่าเถื่อน เพราะพวกเขารู้ว่าตนทำตัวไม่สุภาพได้โดยที่กะโหลกไม่ถูกผ่าเป็นเสี่ยง เขารู้สึกสับสนและไม่สบายใจ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะเดินออกไปอย่างอับอาย แต่ชาวคอเธียนก็เลือกจะยั่วอารมณ์เขาอีก

“เอาสิ เอาสิ!” เขาตะโกน “บอกเหล่าผู้น่าสงสารเหล่านี้ ผู้เพียงแต่เป็นขโมยมาก่อนที่เจ้าจะเกิด บอกพวกเขาสิว่าเจ้าจะขโมยมณีมาอย่างไร!”

“มันจะมีหนทางเสมอ หากความปรารถนานั้นอยู่คู่กับความกล้า” ชาวซิมเมอเรียนตอบสั้นๆเป็นการยั่วโทสะ

ชาวคอเธียนถือว่านั่นเป็นการดูถูกส่วนตัว ใบหน้าเขาเป็นสีม่วงด้วยโทสะ

“อะไรนะ!” เขาคำราม “เจ้ากล้าบอกเราเรื่องงานของเรา แล้วหาว่าพวกเราเป็นคนขลาด? ไปเลย ไปให้พ้นหน้าข้า!” แล้วเขาก็ผลักชาวซิมเมอเรียนอย่างแรง

“เจ้าเยาะเย้ยข้าแล้วสัมผัสตัวข้าหรือ?” คนเถื่อนพูดเสียงไม่ชวนฟัง ความโกรธของเขาพวยพุ่งขึ้น และเขาก็ผลักตอบกลับไปด้วยฝ่ามือที่กระแทกผู้ทรมานเขาไปกลับชนกับโต๊ะไม้ที่โค่นมาหยาบๆนั่น เหล้ากระฉอกออกจากจอก แล้วชาวคอเธียนก็คำรามด้วยโทสะ ชักดาบของตน

“อ้ายหมาเถื่อน!” เขาร้อง “ข้าจะควักหัวใจเจ้า”

โลหะส่องประกายและพวกที่มุงอยู่ก็ถอยไปพ้นทาง ท่ามกลางความแตกตื่นนั้น พวกมันก็ได้ชนเทียนเล่มหนึ่งเดียวล้มแล้วรังโจรนั้นก็ถลำสู่ความมืดมิด แทรกด้วยเสียงม้านั่งล้มคว่ำ เสียงฝีเท้า เสียงตะโกน เสียงสบถสาบานที่ดังขึ้นซ้อนๆกัน แล้วก็เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดที่ผ่าทุกเสียงราวกับใบมีด ในตอนที่เทียนถูกจุดขึ้นอีกนั้น แขกส่วนใหญ่ก็ออกไปทางประตูกับหน้าต่างแตกๆเสียหมดแล้ว ที่เหลือนั้นเบียดเสียดกันอยู่หลังกองถังไวน์กับใต้โต๊ะ คนเถื่อนจากไปแล้ว กลางห้องนั้นว่างอยู่ยกเว้นเพียงร่างที่มีแผลยาวของชาวคอเธียน ชาวซิมเมอเรียนได้สังหารชายผู้นั้นท่ามกลางความมืดและความวุ่นวายด้วยสัญชาตญาณอันไม่มีผิดพลาดของคนป่า
Kuruni   09-16-2014, 11:39 PM
#5
II-I

แสงขมุกขมัวกับเสียงรื่นเริงนั้นถูกทิ้งห่างไปด้านหลังของชาวซิมเมอเรียน เขาทิ้งเสื้อคลุมขาดๆไปแล้วและเดินฝ่าราตรีไปในสภาพเกือบเปลือยที่มีเพียงเตี่ยวและรองเท้ารัดสูง เขาเคลื่อนไหวด้วยความนิ่มนวลของพยัคฆ์ กล้ามเนื้อแข็งกล้าเป็นลอนใต้ผิวสีน้ำตาลนั่น

เขาได้เข้ามายังส่วนของเมืองที่สงวนไว้ให้วิหารต่างๆแล้ว รอบกายเขาส่องประกายระยิบระยับสีขาวด้วยแสงดาว—เสาหินอ่อนขาวราวหิมะกับโดมทองและซุ้มเงิน หมู่วิหารแห่งเทพประหลาดนับพันของซามอรา เขาไม่คิดเรื่องพวกนั้นให้ปวดหัว เขารู้ว่าศาสนาของซามอเรียนนั้นก็เหมือนกับทุกสิ่งของชาวเจริญที่ลงหลักปักรากมานาน คือซับซ้อนยุ่งเหยิง และได้สูญเสียแก่นแท้ดั้งเดิมของมันไปท่ามกลางวงกตแห่งบทสวดกับพิธีกรรมแล้ว เขาเคยนั่งสมาธิเป็นชั่วโมงในสวนของพวกนักปรัชญา ฟังที่พวกนักศาสนศาสตร์กับปรมาจารย์ถกเถียงกัน แล้วก็จากมาด้วยความมึนงงสับสน แน่ใจได้เพียงอย่างเดียวคือพวกนั้นล้วนแต่มีอะไรเพี้ยนในหัว

ทวยเทพของเขานั้นเรียบง่ายและเข้าใจได้ ครอมเป็นหัวหน้าของพวกนั้นและเขาอาศัยอยู่ในมหาภูผา ที่ซึ่งเขาส่งความหายนะและความตายออกมา การเรียกหาครอมนั้นไร้ประโยชน์ เพราะเขาเป็นเทพที่ป่าเถื่อน มืดมน และชิงชังผู้อ่อนแอ แต่เขาได้มอบความกล้าหาญแด่บุรุษในตอนที่เกิดมา กับจิตใจและกำลังที่ใช้สังหารศัตรู ซึ่งในความคิดของซิมเมอเรียนนั้น เป็นทั้งหมดที่ควรคาดหวังจากเทพทั้งปวง

ฝีเท้าของเขาไร้ซึ่งสุ้มเสียงบนทางที่ปูแวววาว ไม่มียามผ่านมา เพราะแม้แต่เหล่าหัวขโมยแห่งมาอุลก็หนีห่างจากวิหารเหล่านี้ ที่ซึ่งรู้กันว่ามีความวิบัติอันแปลกประหลาดเกิดขึ้นกับผู้ที่ล่วงละเมิดมัน ที่เห็นอยู่เบื้องหน้าของเขานั้น หอคอยคชสารปรากฏรางๆอยู่กับท้องฟ้า เขารำพึงสงสัยถึงสาเหตุที่มันได้ชื่อนั้น ดูเหมือนจะไม่มีผู้ใดรู้ เขาไม่เห็นเห็นช้างมาก่อน แต่ก็ทราบคร่าวๆว่ามันเป็นสัตว์ที่ใหญ่โต มีหางทั้งข้างหน้าและข้างหลัง นั่นเป็นสิ่งที่ชาวเชมิทพเนจรเคยบอกเขา สาบานว่าเขาเคยเห็นอสุรกายนั้นนับพันในประเทศแห่งชาวไฮร์คาเนียน แต่ใครๆก็รู้ว่าพวกเชมนั้นช่างโป้ปด ถึงอย่างไร ในซามอราก็ไม่มีช้าง

ตัวหอคอยนั้นเป็นประกายเย็นชาอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว ท่ามกลางแสงตะวันนั้นมันสว่างไสวจนน้อยคนจะทนแสงของมันได้ และผู้คนก็บอกว่ามันทำจากเงิน มันโค้งมน เป็นทรงกระบอกเรียวๆที่สมบูรณ์แบบ สูงหนึ่งร้อยกับห้าสิบฟิต และขอบริมของมันก็เป็นประกายระยิบระยับกับแสงดาวด้วยเพชรพลอยขนาดใหญ่ที่ฝังอยู่ หอคอยนั้นตระหง่านอยู่ท่ามกลางระลอกคลื่นของพรรณไม้ประหลาดในสวนที่ยกสูงขึ้นจากชั้นดินของเมือง กำแพงสูงรายล้อมสวนนั้น และนอกกำแพงก็คือชั้นที่ต่ำลงมา ซึ่งก็มีกำแพงล้อมไว้เช่นกัน ไม่มีแสงใดสาดส่องออกมา ดูราวกับว่าหอคอยนั้นจะไม่มีหน้าต่าง—อย่างน้อยก็ในชั้นที่สูงกว่ากำแพงชั้นใน มีเพียงเพชรพลอยที่สูงขึ้นไปซึ่งสะท้อนแสงอันเย็นชาของแสงดาวเท่านั้น

นอกกำแพงชั้นล่างหรือชั้นนอกนั้นมีพุ่มไม้ขึ้นหนา ชาวซิมเมอเรียนคืบเข้าไปใกล้แล้วยืนอยู่เคียงสิ่งกีดขวาง ใช้สายตาวัดมัน มันสูง แต่เขาสามารถกระโจนและใช้นิ้วจับสันกำแพงได้ จากนั้นการเหวี่ยงตัวเองขึ้นและข้ามมันไปนั้นก็เป็นเพียงเรื่องเด็กเล่น และเขาก็ไม่สงสัยเลยว่าเขาจะผ่านกำแพงชั้นในไปได้ด้วยวิธีเดียวกัน แต่เขาก็ลังเลต่อความคิดถึงภัยที่กล่าวว่ารออยู่ในนั้น สำหรับเขาแล้วคนเหล่านี้ประหลาดและเร้นลับ พวกนั้นไม่ใช่พวกเดียวกับเขา—ไม่แม้แต่จะร่วมสายเลือดกับชาวบริธูเนียน เนเมเดียน และอควิโลเนียนทางตะวันตก ซึ่งวัฒนธรรมอันลี้ลับเคยทำให้เขาตื่นตะลึงมาแล้ว ชาวซามอเรียนนั้นมีมาแต่โบราณนัก และจากที่เขาได้เห็นมาก็ชั่วร้ายนักด้วย

เขาคิดถึงยารา มหานักพรต ผู้สร้างวิบัติอันแปลกประหลาดจากหอคอยที่ประดับด้วยอัญมณีของเขา แล้วชาวซิมเมอเรียนก็ขนลุกเมื่อระลึกถึงเรื่องที่เด็กรับใช้ผู้เมามายในสนามหญ้าเล่าให้ฟัง—ที่ยาราหัวเราะใส่หน้าของเจ้าชายผู้เป็นศัตรู แล้วชูอัญมณีที่ส่องแสงชั่วร้ายขึ้นต่อหน้า และที่แสงซึ่งสาดส่องเจิดจ้าออกมาจากมณีเลวทรามนั้นโอบล้อมเจ้าชายผู้กรีดร้องและล้มลง แล้วก็หดตัวลงเป็นก้อนสีดำเหี่ยวๆซึ่งกลายไปเป็นแมงมุมดำซึ่งวิ่งไปมาอย่างไร้สติในห้องนั้นก่อนที่ยาราจะใช้เท้าเหยียบมัน

ยารานั้นไม่ค่อยจะออกจากหอคอยเวทมนตร์ของตนนัก และก็จะทำงานชั่วร้ายให้ผู้ใดหรือประเทศใดอยู่เสมอ องค์ราชาแห่งซามอรากลัวเขายิ่งกว่าที่กลัวมัจจุราช และก็ทำให้ตนเมามายตลอดเวลาด้วยว่าตนไม่อาจทนต่อความหวาดกลัวนั้นในยามสร่างได้ ยารานั้นอายุมากแล้ว—ว่ากันว่าหลายร้อยปี และเสริมด้วยว่าเขาจะอยู่ไปได้ตลอดกาลด้วยเวทมนตร์จากมณีของเขา ซึ่งผู้คนเรียกกันว่าหัวใจคชสาร ซึ่งก็ไม่ได้มีเหตุผลมากกว่าที่เรียกรังของเขาว่าหอคอยคชสาร

ชาวซิมเมอเรียนที่กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านั้นแนบตัวกับกำแพงอย่างรวดเร็ว ในสวนนั้นมีใครบางคนผ่านมา คนที่เดินด้วยย่างก้าวที่สม่ำเสมอ โสตประสาทได้ยินเสียงโลหะกระทบกัน ในสวนนี้มียามอยู่จริงๆ ซิมเมอเรียนรอด้วยคาดว่าจะได้ยินเขาผ่านไปอีกรอบหนึ่ง แต่ในสวนลึกลับนั้นก็มีแต่ความเงียบงัน

ในที่สุดความสงสัยก็นำเขา เขาโผนขึ้นเกาะกำแพงอย่างแผ่วเบาแล้วเหวี่ยงตัวเองขึ้นไปด้านบนด้วยแขนข้างหนึ่ง ตอนที่หมอบราบกับสันกำแพงที่กว้างนั้น เขาก็มองลงไปในที่ว่างกว้างขวางระหว่างกำแพงทั้งสอง ไม่มีพุ่มไม้ขึ้นใกล้ๆเขาเลย แต่เขาก็แลเห็นพุ่มไม้ที่ตัดเล็มอย่างประณีตแล้วใกล้กับกำแพงชั้นใน แสงดาวสาดส่องลงบนสนามหญ้าที่ราบเรียบและมีเสียงของน้ำพุจากที่ไหนสักแห่ง

ชาวซิมเมอเรียนหย่อนตัวลงไปด้านในอย่างระมัดระวังแล้วชักดาบมองไปรอบกาย เขาสั่นด้วยความกังวลตื่นเต้นที่ยืนอยู่ใต้แสงดาวโดยไม่มีที่กำบัง แล้วเขาก็ขยับไปตามแนวโค้งของกำแพงอย่างแผ่วเบาในเงาของมัน จนกระทั่งตนอยู่ในแนวเดียวกับไม้พุ่มที่แลเห็นก่อนหน้า จากนั้นเขาก็วิ่งไปหามันอย่างรวดเร็ว หมอบตัวลงต่ำ และเกือบสะดุดร่างที่กองอยู่ใกล้กับพุ่มไม้นั้น

เมื่อมองซ้ายขวาอย่างเร็วและเห็นว่าไม่มีศัตรูอยู่ใกล้ตัวแล้ว เขาก็ก้มลงดูใกล้ๆ แม้แต่ใต้แสงดาวสลัวนั้น สายตาอันแหลมคมของเขาก็แลเห็นชายผู้กำยำสวมเกราะเงินและหมวกเหล็กที่มีสัญลักษณ์ของราชองครักษ์ซามอเรียนได้ โล่และหอกวางอยู่ข้างกาย และเพียงตรวจดูก็เห็นได้ทันทีว่าเขาถูกรัดคอ คนเถื่อนมองไปรอบๆอย่างไม่สบายใจ เขารู้ว่าชายผู้นี้คือยามที่เขาได้ยินเดินผ่านไปในตอนที่ซุ่มที่กำแพงนั่นเอง เวลาผ่านไปไม่นานนัก แต่ในเวลานั้นก็มีมือนิรนามยื่นมาจากความมืดมิดและปลิดชีพทหารผู้นี้ไป

เมื่อเขม็งตาในความมืด เขาก็เห็นร่องรอยของการเคลื่อนไหวผ่านพุ่มไม้ใกล้กับกำแพง เขาโผไปที่นั่น มือจับดาบไว้ เขาไม่ได้มีเสียงมากไปกว่าที่เสือดำเร้นกายในราตรีเลย แต่ชายผู้ที่เขาตามไปนั้นก็ยังได้ยิน ชาวซิมเมอเรียนเห็นแนวร่างใหญ่รางๆอยู่ใกล้กับกำแพง โล่งอกที่อย่างน้อยมันก็เป็นคน แล้วผู้นั้นก็หันกายอย่างเร็วโดยหลุดเสียงออกมาเหมือนตระหนก กระโจนไปข้างหน้าและกำมือทั้งสองก่อน แล้วจึงผงะไปเมื่อดาบของซิมเมอเรียนสะท้อนกับแสงดาว ครู่หนึ่งอันตึงเครียดนั้นทั้งสองมิได้เอ่ยปาก ยืนรอรับมือสิ่งใดๆที่จะเกิดขึ้น

“เจ้าไม่ใช่ทหาร” ในที่สุดคนแปลกหน้าส่งเสียงก่อน “เจ้าเป็นขโมยเหมือนข้า”

“แล้วเจ้าเป็นใคร?” ชาวซิมเมอเรียนถามด้วยเสียงกระซิบสงสัย

“ทอรัสแห่งเนเมเดีย”

ชาวซิมเมอเรียนลดดาบลง

“ข้าเคยได้ยินชื่อเจ้า ผู้คนเรียกเจ้าว่าเจ้าชายแห่งขโมย”

เสียงหัวเราะเบาๆตอบกลับมา ทอรัสนั้นสูงพอๆกับชาวซิมเมอเรียนและหนักกว่า เขามีหน้าท้องที่อ้วนใหญ่ แต่การเคลื่อนไหวทุกย่างนั้นมีแนวของวิถีอันละเอียดอ่อน ซึ่งได้แลเห็นได้จากกับดวงตาอันแหลมคมซึ่งเป็นประกายแข็งแรงแม้จะอยู่กลางแสงดาว เขาเท้าเปล่าและถือขดซึ่งดูเหมือนเชือกเรียวเล็กแข็งแรงซึ่งมัดเป็นปมไว้เป็นระยะสม่ำเสมอ

“เจ้าเป็นใคร?” เขากระซิบ

“โคแนน ชาวซิมเมอเรียน” อีกฝ่ายตอบ “ข้ามาเพื่อหาทางขโมยมณีของยาราซึ่งคนเรียกว่าหัวใจคชสาร”

คแนนรู้สึกได้ถึงหน้าท้องของชายผู้นั้นสั่นเทิ้มด้วยเสียงหัวเราะ แต่มิใช่การดูถูก “แด่เบล เทพแห่งหัวขโมย!” ทอรัสส่งเสียง “ข้าคิดว่ามีแต่ตัวข้าที่มีความกล้าจะลองขโมยมันเสียแล้ว เจ้าพวกซามอเรียนนี้เรียกตนเองว่าขโมย—ฮ่า! โคแนน ข้าชอบใจเจ้า ข้าไม่เคยผจญภัยร่วมกับผู้ใดมาก่อน แต่ในนามของเบล เราจะลองมันด้วยกันถ้าเจ้ายินดี”

“งั้นเจ้าก็ต้องการมณีนั่นเช่นกัน?”

“จะมีอะไรอีกเล่า? ข้าได้วางแผนมาหลายเดือน แต่สำหรับเจ้านั้น ข้าว่าคงเป็นอารมณ์ชั่ววูบล่ะสิ สหายข้า”

“เจ้าฆ่าทหารนั่น?”

“แน่นอน ข้าไถลข้ามกำแพงมาตอนที่เขาอยู่อีกด้านของสวน ข้าซ่อนตัวในพุ่มไม้ เขาได้ยินข้า หรือไม่ก็คิดว่าเขาได้ยินอะไรสักอย่าง เมื่อเขาเดินเข้ามา มันก็ไม่ใช่ลูกเล่นอะไรที่จะเข้าไปข้างหลังแล้วรัดคอปลิดชีวิตโง่เขลาของเขาเสีย เขาก็เหมือนคนส่วนใหญ่ อยู่ในความมืดแล้วก็ตาบอดเสียครึ่ง หัวขโมยที่ดีควรมีดวงตาดั่งแมว”

“เจ้าทำพลาดไปสิ่งหนึ่ง” โคแนนกล่าว

ตาของทอรัสเป็นประกายด้วยความโกรธ

“ข้า? ข้านี่นะทำพลาด? เป็นไปไม่ได้!”

“เจ้าควรจะลากศพเข้าไปในพุ่มไม้”

“นั่นมือใหม่กล่าวกับปรมาจารย์ พวกมันไม่เปลี่ยนกะยามจนถึงหลังเที่ยงคืน หากมีใครสักคนมาหาเขาในตอนนี้แล้วเจอศพของเขา พวกนั้นก็จะหนีไปหายาราในทันที ป่าวประกาศข่าวออกไป และก็ทำให้เรามีเวลาหนี แต่หากว่าพวกนั้นหามันไม่พบก็จะทำการค้นทุกซอกทุกมุมแล้วจับเราได้เหมือนหนูติดกับ”

“เจ้าพูดถูก” โคแนนเห็นด้วย

“เอาล่ะ ทีนี้ฟัง เราเสียเวลากับการเสวนาสารเลวนี่ ในสวนชั้นในนั้นไม่มียาม—ข้าหมายถึงยามที่เป็นคน แต่มันก็มีผู้เฝ้าระวังที่ร้ายกาจยิ่งกว่า เพราะพวกมันนั่นเองที่ทำให้ข้าอับจนอยู่นาน แต่ในที่สุดข้าก็หาวิธีกำจัดพวกมันได้แล้ว”

“แล้วพวกทหารที่อยู่ชั้นล่างของหอคอยล่ะ?”

“เจ้าเฒ่ายาราอยู่ในห้องข้างบน เราจะเข้าไปทางนั้น—แล้วก็ออกมา ข้าหวังว่าอย่างนั้น อย่าถามข้าว่าจะทำอย่างไร ข้าได้เตรียมหนทางไว้แล้ว เราจะเล็ดลอดลงไปจากยอดหอคอย บีบคอเจ้าเฒ่ายาราก่อนที่มันจะร่ายคาถาต้องสาปใดๆใส่เราได้ อย่างน้อยเราก็จะลองดู โอกาสที่จะถูกสาปเป็นแมงมุมหรือคางคก แลกกับความมั่งคั่งและอำนาจในโลกนี้ หัวขโมยชั้นดีทุกคนรู้จักการเสี่ยงภัยทั้งนั้น”

“ข้าจะทำเท่าที่คนจะทำได้” โคแนนกล่าวพลางถอดรองเท้าออก

“งั้นก็ตามข้ามา” แล้วทอรัสก็หันไปกระโดดขึ้นเกาะกำแพงก่อนดึงตัวขึ้นไป ความพลิ้วไหวของชายผู้นี้ช่างน่าอัศจรรย์เมื่อคำนึงถึงร่างของเขา มันเกือบดูเหมือนกับว่าเขาโผนขึ้นไปบนสันกำแพงนั่น โคแนนตามไปแล้วหมอบลงบนนั้น พวกเขาพูดกันด้วยเสียงกระซิบ

“ข้าไม่เห็นแสง” โคแนนรำพึง ส่วนล่างของหอคอยนั้นก็ดูเหมือนส่วนที่แลเห็นได้จากนอกสวน—ทรงกระบอกแวววาวที่สมบูรณ์แบบซึ่งไม่มีช่องทางอันแลเห็นได้

“มันมีประตูและหน้าต่างที่สร้างอย่างแยบยลอยู่” ทอรัสตอบ “แต่มันปิดแล้ว พวกทหารหายใจด้วยอากาศที่เข้าไปทางข้างบน”

สวนนั้นกลายเป็นแอ่งของเงามืดรางๆ ซึ่งไม้พุ่มและต้นไม้ที่กระจายไปต่ำๆนั้นโอนเอนอย่างมืดมัวใต้แสงดาว จิตอันระมัดระวังของโคแนนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเภทภัยที่ล่องลอยอยู่เหนือมัน เขารู้สึกได้ถึงแววอันลุกโชนของดวงตาที่ยังไม่เห็น และเขาก็ได้กลิ่นจางๆซึ่งทำให้เขาขนลุกตามสัญชาตญาณ เหมือนสุนัขล่าเนื้อที่ได้กลิ่นศัตรูเก่าแก่

“ตามข้ามา” ทอรัสกระซิบ “อยู่หลังข้าไว้ ถ้าเจ้ายังรักชีวิต”

ชาวเนเมเดียนดึงสิ่งที่ดูเหมือนท่อทองแดงออกจากเข็มขัดแล้วทิ้งตัวลงบนสนามหญ้าด้านในกำแพงอย่างแผ่วเบา โคแนนตามไปติดๆ พร้อมจะใช้ดาบ แต่ทอรัสดันเขาถอยไปชิดกับกำแพงโดยที่ตนเองก็ไม่มีท่าทีจะเดินหน้า ท่าทางของเขานั้นเป็นการรอคอยอย่างตึงเครียด และสายตาของเขาก็จับจ้องไปยังมวลเงาของพงไม้ที่ห่างออกไปไม่กี่หลาเช่นเดียวกับโคแนน พงไม้นั้นสั่นไหวแม้ว่าลมจะสงบแล้ว จากนั้นดวงตาคู่หนึ่งก็เป็นประกายจากเงาที่สั่นไหวนั้น และด้านหลังของมันก็มีประกายแสงอื่นอยู่ในความมืด

“สิงโต!” โคแนนพึมพำ

“ใช่ ตอนกลางวันพวกมันถูกเก็บไว้ในถ้ำใต้หอคอย นี่คือสาเหตุที่ไม่มียามในสวนนี้”

“มองเห็นห้าตัว อาจจะมีในพุ่มไม้ข้างหลังนั่นอีก พวกมันจะพุ่งเข้ามา—”

“เงียบ!” ทอรัสส่งเสียงขู่แล้วก็เคลื่อนกายออกไปจากกำแพงอย่างระมัดระวังราวกับกำลังทรงตัวบนใบมีดและยกท่อเรียวนั้นขึ้น เสียงคำรามต่ำๆดังจากเงามืดและดวงตาที่โชติช่วงก็เคลื่อนมาด้านหน้า โคแนนรู้สึกได้ถึงฟันที่เปื้อนน้ำลาย หางที่เป็นพู่สะบัดไปด้านข้าง อากาศเริ่มอึดอัดขึ้น—ชาวซิมเมอเรียนจับดาบตนไว้ รอการกระโจนและแรงกระแทกอันไม่อาจต้านทานได้จากร่างอันใหญ่โต แล้วทอรัสก็ยกปลายท่อขึ้นจรดริมฝีปากของตนก่อนเป่าอย่างแรง ละอองสีเหลืองพุ่งออกไปเป็นสายยาวจากอีกด้านของท่อซึ่งกระจายออกเป็นหมอกหนาสีเหลืองเขียวที่เข้าปกคลุมพุ่มไม้บดบังดวงตาที่เป็นประกายนั่น

ทอรัสรีบวิ่งกลับมาที่กำแพง โคแนนมองโดยที่ไม่เข้าใจ หมอกหนานั้นบดบังพุ่มไม้ไว้และไม่มีเสียงใดๆออกมา

“หมอกนั่นมันอะไร?” ซิมเมอเรียนถามอย่างไม่สบายใจ

“มัจจุราช!” เนเมเดียนส่งเสียง “หากว่ามีลมพัดมันกลับมาหาเรา เราก็ต้องหนีขึ้นไปบนกำแพง แต่ไม่หรอก ตอนนี้ลมสงบและมันก็แผ่ออกไปแล้ว รอให้มันหายไปให้หมดก่อน เพราะการสูดมันเข้าไปนั้นหมายถึงความตาย”

ครู่หนึ่งมันก็เหลือเพียงเศษเสี้ยวสีเหลืองที่อ้อยอิ่งอยู่กลางอากาศราวกับภูตผี แล้วก็หายไป และทอรัสก็ทำท่าให้เพื่อนร่วมทางเดินหน้า พวกเขาย่องไปทางพุ่มไม้ แล้วโคแนนก็อ้าปากค้าง ที่เรียงรายอยู่ในเงานั้นคือร่างสีน้ำตาลขนาดใหญ่ห้าร่าง ประกายในดวงตาอันดุร้ายของพวกมันหม่นมัวไปตลอดกาล กลิ่นหอมชวนอึดอัดยังคงอยู่ในอากาศ

“พวกมันตายโดยไม่ได้ส่งเสียง!” ซิมเมอเรียนพึมพำ “ทอรัส ผงละอองนั่นคืออะไร?”

“มันทำจากดอกบัวดำที่บานในป่าลึกแห่งคิไท ที่ซึ่งมีเพียงพวกนักพรตกะโหลกเหลืองแห่งยุนอาศัยอยู่ ดอกไม้นี้จะนำพาความตายมาสู่ทุกผู้ที่ดมมัน”

โคแนนคุกเข่าลงข้างร่างใหญ่โตเหล่านั้นเพื่อให้แน่ใจว่าพวกมันไม่อาจเป็นภัยแล้วจริงๆ เขาส่ายศีรษะ เวทมนตร์ของต่างแดนนั้นทั้งลึกลับและน่าสะพรึงกลัวต่อคนเถื่อนแห่งทางเหนือ

“ทำไมเจ้าถึงสังหารพวกทหารในหอคอยด้วยวิธีเดียวกันไม่ได้หรือ?”

“เพราะนั่นเป็นผงละอองทั้งหมดที่ข้ามีแล้ว ลำพังการเอามันมานั้นก็นับเป็นวีรกรรมที่พอจะทำให้ข้ามีชื่อเสียงในหมู่หัวขโมยบนโลกได้เลย ข้าขโมยมันมาจากกองคาราวานของสไตเกีย แล้วข้าก็ยกมันซึ่งอยู่ในคราบของถุงทองจากขดของมหาอสรพิษที่เฝ้ามันอยู่โดยที่ไม่ทำให้มันตื่น แต่มาเถอะ ในนามแห่งเบล! เราจะเสียเวลาคืนนี้ไปกับการพูดคุยกันหรือไร?”

พวกเขาถลาผ่านพุ่มไม้ไปยังตีนหอคอยแวววาว และที่นั่น ทอรัสก็คลายเชือกที่มัดไว้เป็นปมซึ่งปลายด้านหนึ่งนั้นเป็นตะขอเหล็กกล้าด้วยการเคลื่อนไหวที่ไร้สุ้มเสียง โคแนนรู้แผนของเขาและมิได้ถามอะไรเมื่อชาวเนเมเดียนจับเชือกต่ำลงมาจากตะขอไม่มากนัก แล้วก็เริ่มกวัดแกว่งมันเหนือหัว โคแนนแนบหูฟังกับผนังที่เรียบลื่นนั้น แต่ก็ไม่ได้ยินอะไร แน่ชัดว่าพวกทหารข้างในมิได้ตระหนักว่ามีผู้บุกรุกซึ่งมิได้ทำให้เกิดเสียงใดดังไปกว่าสายลมยามราตรีที่พัดผ่านแมกไม้ แต่คนเถื่อนก็ยังมีความระแวงประหลาด อาจจะเป็นเพราะกลิ่นสาบสิงโตซึ่งมีอยู่ทั่ว

ทอรัสใช้แขนอันทรงพลังเหวี่ยงเชือกด้วยการเคลื่อนไหวอันไหลลื่นและเฉียบคม แนวของตะขอนั้นโค้งขึ้นและหันเข้าอย่างแปลกประหลาดจนยากจะบรรยายได้ และหายลับไปเหนือขอบฝังอัญมณี ดูเหมือนว่ามันจะติดอยู่อย่างมั่นคง เพราะเมื่อกระตุกและดึงอย่างแรงดูแล้วก็มิได้ลื่นหรือหลุดออกมา

“มีโชคตั้งแต่ทีแรก” ทอรัสรำพึง “ข้า—”

สัญชาตญาณเถื่อนของโคแนนทำให้เขาหันกายอย่างฉับพลัน เพราะความตายเข้ามาหาทั้งสองอย่างไร้สุ้มเสียง การเหลือบมองชั่วขณะทำให้ชาวซิมเมอเรียนเห็นร่างสีน้ำตาลใหญ่โตซึ่งยกตัวขึ้นกลางหมู่ดาวเหนือตัวเขาเพื่อตะปบ ไม่มีเผ่าเจริญผู้ใดจะเคลื่อนไหวได้ด้วยความเร็วเพียงครึ่งของที่คนเถื่อนทำ ดาบของเขาเป็นประกายเย็นชาท่ามกลางแสงดาวด้วยประสาทในยามคับขันทั้งหมดที่เหวี่ยงมันออกไป แล้วทั้งคนกับสัตว์ร้ายก็ล้มลงทั้งคู่

ทอรัสโก้งโค้งเหนือมวลนั้น สบถไม่เป็นภาษา และเห็นว่าแขนขาของเพื่อนร่วมทางกำลังเคลื่อนไหวเพื่อกระเสือกกระสนดึงตัวเองออกจากน้ำหนักมหาศาลที่ฟุบอยู่บนตัวเขา การมองผ่านๆก็ทำให้ชาวเนเมเดียนที่ตระหนกรู้ว่าสิงโตนั้นตายแล้ว หัวกะโหลกที่ลาดเอียงของมันถูกผ่าครึ่ง เขาดึงซากนั่น แล้วโคแนนก็ผลักมันออกไปได้และลุกขึ้นได้ด้วยความช่วยเหลือของเขา มือยังจับดาบที่มีเลือดหยด

“เจ้าบาดเจ็บหรือเปล่า สหาย?” ทอรัสอ้าปากค้าง ยังตะลึงกับความรวดเร็วของชั่วจังหวะที่เกิดเมื่อครู่

“ไม่เลย แด่ครอม!” คนเถื่อนตอบ “แต่นั่นก็ฉิวเฉียดที่สุดในชีวิตของข้าเลย ทำไมเจ้าสัตว์ร้ายนั่นถึงไม่คำรามก่อนพุ่งมา?”

“ทุกสิ่งในสวนนี้ประหลาดทั้งนั้น” ทอรัสว่า “สิงโตที่จู่โจมอย่างเงียบกริบ—ความตายอื่นๆก็ด้วยเช่นกัน แต่มาเถอะ—การเข่นฆ่าเมื่อครู่เกิดเสียงน้อยนิด แต่หากว่าพวกมันไม่ได้หลับหรือเมามายกันแล้วพวกทหารก็อาจจะได้ยิน เจ้าสัตว์ร้ายนั่นอยู่ในส่วนอื่นของสวนและหลบรอดจากความตายแห่งดอกไม้มาได้ แต่แน่ใจได้ว่ามันไม่มีอีกแล้ว เราต้องปีนเชือกนี่—ขอถามชาวซิมเมอเรียนนิดนะว่าทำได้หรือเปล่า”

“ถ้ามันรับน้ำหนักข้าได้นะ” โคแนนแค่นเสียง ใช้หญ้าเช็ดดาบ “มันรับน้ำหนักตัวข้าได้สามคนเลยล่ะ” ทอรัสตอบ “มันทอจากปอยผมของสตรีที่ตายแล้ว ซึ่งข้าเอามาจากหลุมศพของพวกนางในยามเที่ยงคืน แล้วก็แช่ในยางน่องอันน่ากลัวเพื่อให้มันแข็งแรง ข้าจะไปก่อน—ตามมาติดๆล่ะ”

ชาวเนเมเดียนกุมเชือกแล้วเกี่ยวเข่าข้างหนึ่งไว้กับมันและเริ่มปีนขึ้นไป เขาขึ้นไปราวกับแมวซึ่งผิดกับร่างที่ดูอุ้ยอ้ายเขา ชาวซิมเมอเรียนตามไป เชือกแกว่งและบิดตัว แต่ผู้ที่ปีนอยู่ก็มิได้หยุดชะงัก ทั้งคู่เคยทำการปีนป่ายที่ยากกว่านี้มาแล้ว ขอบฝังอัญมณีระยิบระยับอยู่เหนือทั้งสองยื่นตั้งฉากออกมาจากผนัง ทำให้เชือกนั้นโยงห่างจากข้างหอคอยมาประมาณฟุตหนึ่ง—ซึ่งทำให้การปีนขึ้นไปนี้ง่ายขึ้นมาก
Kuruni   09-16-2014, 11:46 PM
#6
II-II


พวกเขาขึ้นไปสูงขึ้นและสูงขึ้นอย่างเงียบๆ พวกเขาเห็นแสงไฟของเมืองกระจายออกไปเรื่อยๆตามที่ตนปีน ดวงดาวเบื้องบนก็ถูกแสงระยิบระยับของเพชรพลอยบนขอบนั้นทำให้จางลงเรื่อย ตอนนี้ทอรัสได้เอื้อมมือขึ้นจับขอบหอคอยแล้วดึงตนเองขึ้นไปพ้นมัน โคแนนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งที่ขอบริมนั้นด้วยตะลึงต่อเหล่าอัญมณีอันเย็นชาเม็ดใหญ่ซึ่งแสงแวววาวของมันทำให้เขาตาลาย—เพชร ทับทิม มรกต ไพลิน หินเทอร์ควอยซ์ มุกดา กระจุกกันอยู่เหมือนหมู่ดาวท่ามกลางโลหะเงินเป็นประกาย ตอนอยู่ห่างๆนั้นประกายที่แตกต่างกันของพวกมันดูเหมือนจะรวมกันเป็นแสงสีขาว แต่ตอนนี้ ใกล้ๆนี่ พวกมันส่องแสงเป็นเฉดของสายรุ้งนับล้าน สะกดเขาไว้ด้วยประกายระยิบระยับของพวกมัน

“นี่มันสมบัติก้อนใหญ่เหลือเชื่อเลยนะ ทอรัส” เขากระซิบ แต่ชาวเนเมเดียนกลับตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “มาเถอะ! หากเราเอาหัวใจมาได้ พวกนั้นกับอื่นๆทั้งหมดก็จะเป็นของเรา”

โคแนนปีนข้ามขอบอันส่องประกายขึ้นไป พื้นชั้นบนของหอคอยนั้นต่ำลงมาจากขอบฝังเพชรพลอยประมาณฟุตหนึ่ง มันราบ ทำจากวัสดุสีน้ำเงินเข้มสักอย่างตัดกับทองคำซึ่งสะท้อนกับแสงดาว ทำให้ทั้งพื้นนั้นดูเหมือนไพลินเม็ดใหญ่โรยด้วยผงทองเจิดจ้า ตรงข้ามจากจุดที่พวกเขาเข้ามานั้นดูเหมือนจะเป็นห้องอะไรสักอย่างที่สร้างไว้บนหลังคา มันทำจากเงินเช่นเดียวกับผนังของหอคอย ประดับด้วยเพชรพลอยเล็กๆ ประตูบานเดียวของมันเป็นทองคำ ผิวหน้าของมันตัดเป็นเกล็ดและอัดไว้ด้วยอัญมณีที่ส่องแสงแวววาวเหมือนน้ำแข็ง

โคแนนเหลือบมองไปยังกลุ่มแสงที่เต้นเป็นจังหวะซึ่งกระจายห่างลงไปด้านล่าง แล้วมองไปยังทอรัส ชาวเนเมเดียนดึงเชือกของตนขึ้นมาแล้วขดมัน เขาให้โคแนนดูที่ที่ตะขอเกี่ยวไว้—จุดที่ลึกลงไปไม่ถึงนิ้วใต้อัญมณีเม็ดใหญ่ที่ส่องประกายอยู่ด้านในขอบ

“โชคอยู่ข้างเราอีกครั้ง” เขาพึมพำ “เป็นใครก็คงคิดว่าน้ำหนักของพวกเรารวมกันจะดึงหินนั่นหลุดออกมา ตามข้ามาเถอะ จากนี้ไปต้องเสี่ยงภัยจริงๆแล้ว พวกเรามาอยู่ในรังอสรพิษ และเราไม่รู้ว่ามันซ่อนอยู่ที่ใด”

พวกเขาคลานข้ามพื้นที่ส่องประกายมืดมนไปเหมือนพยัคฆ์ตามรอยเหยื่อและหยุดอยู่นอกประตูที่ส่องประกายนั้น เมื่อมือที่คล่องแคล่วและระมัดระวังของทอรัสลองผลักมัน มันก็เปิดออกโดยไม่ติดขัด เพื่อนร่วมทางทั้งสองมองเข้าไป เกร็งที่จะเจออะไรก็ตาม โคแนนมองข้ามไหล่ของทอรัสไปและเห็นห้องที่เป็นประกายแวววาว ทั้งผนัง เพดาน แล้วก็พื้น เต็มไปด้วยอัญมณีสีขาวซึ่งฉายแสงเจิดจ้า และดูเหมือนจะเป็นแสงไฟอย่างเดียวในนั้น ดูเหมือนจะไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใด

“ก่อนที่เราจะตัดทางถอยของเรา” ทอรัสส่งเสียง “เจ้าไปที่ขอบแล้วมองดูให้ทุกด้าน ถ้าเจ้าเห็นทหารเคลื่อนไหวอยู่ในสวนหรืออะไรก็ตามที่น่าสงสัยก็กลับมาบอกข้า ข้าจะรอเจ้าในห้องนี้”

โคแนนเห็นว่าเรื่องนี้มีเหตุผลเพียงนิด และความแคลงใจในตัวเพื่อนร่วมทางก็สัมผัสจิตอันระแวดระวังของเขา แต่เขาก็ทำตามที่ทอรัสบอก ตอนที่เขาหันไปนั้น ชาวเนเมเดียนก็หลบเข้าไปในประตูและปิดมันลงเบื้องหลัง โคแนนคลานไปรอบขอบหอคอย และกลับมาที่จุดเริ่มต้นโดยมิได้เห็นการเคลื่อนไหวน่าสงสัยใดท่ามกลางระลอกใบไม้ที่พลิ้วไหวเบื้องล่าง เขาหันกลับมาทางประตู ด้วยว่ามีเสียงร้องดังจากในห้อง

ชาวซิมเมอเรียนกระโจนไปข้างหน้าอย่างระทึก—ประตูแวววาวนั้นเปิดออกและทอรัสก็ยืนอยู่ในแสงอันเย็นชาเบื้องหลัง เขาโอนเอนและอ้าปาก แต่ก็มีเพียงลมแห้งๆออกจากคอหอย เขายึดประตูทองคำเพื่อทรงตัวไว้แล้วก็ถลาออกมาบนหลังคา ก่อนล้มลงหัวทิ่ม มือกุมลำคอตนไว้ ประตูปิดลงหลังเขา

โคแนนหมอบลงเหมือนเสือดำริมฝั่งน้ำ ชั่วขณะที่ประตูเปิดอยู่ส่วนหนึ่งนั้นมองไม่เห็นสิ่งใดในห้องหลังชาวเนเมเดียนที่กำลังหวาดกลัว—เว้นเสียว่าเงาที่พุ่งไปตามพื้นแวววาวนั้นจะไม่ใช่การเล่นตลกของแสง ไม่มีอะไรตามทอรัสออกมาบนหลังคา แล้วโคแนนเข้าไปก้มอยู่เหนือเขา

สายตาของเนเมเดียนนั้นเบิกโพลง มองขึ้น และยังมีความตระหนกอย่างร้ายกาจ สองมือเขาข่วนลำคอตนเอง น้ำลายไหลยืดฟูมปาก แล้วจู่ๆเขาก็แน่นิ่ง และซิมเมอเรียนผู้ตื่นตะลึงก็รู้ว่าเขาสิ้นใจแล้ว เขายังรู้สึกว่าทอรัสตายไปโดยไม่ทราบว่าความตายมาหาตนในรูปแบบใด โคแนนมองอย่างตื่นๆไปยังประตูทองคำอันลึกลับ ในห้องว่างนั้น ภายในผนังประดับเพชรนิลจินดาอันระยิบระยับนั่น มัจจุราชได้มาเยือนเจ้าชายแห่งขโมยอย่างรวดเร็วและลึกลับเฉกเช่นที่เขามอบแก่เหล่าสิงโตในสวนเบื้องล่าง

คนเถื่อนใช้มือลูบหาบาดแผลอย่างระมัดระวังบนร่างเปลือยครึ่งท่อนของทอรัส แต่ร่องรอยของการประทุษร้ายก็มีเพียงที่ระหว่างไหล่ทั้งสอง สูงขึ้นไปใกล้กับที่ต้นคอหนาของเขา—แผลเล็กๆสามรอยที่ดูเหมือนตะปูสามอันแทงลงไปในเนื้อแล้วถอนออก ขอบของแผลเหล่านี้กลายเป็นสีดำ และยังได้กลิ่นเน่าอ่อนๆ ลูกดอกพิษ? โคแนนคิด—แต่ถ้าเช่นนั้นแล้วมันก็ควรจะยังติดอยู่ที่บาดแผล

เขาย่องอย่างระมัดระวังไปยังประตูทองคำ ผลักเปิดมันแล้วมองเข้าไป ห้องนั้นว่างเปล่า อาบด้วยแสงเย็นชาเป็นจังหวะของอัญมณีมากมายที่เรืองรอง ที่กลางเพดานนั้นเขาสังเกตเห็นสิ่งที่น่าสงสัย—รูปทรงแปดเหลี่ยมสีดำซึ่งตรงกลางนั้นมีพลอยสี่เม็ดซึ่งเป็นประกายราวสีแดงเพลิงต่างจากแสงขาวของอัญมณีอื่นๆ อีกด้านของห้องนั้นมีประตูอีกบาน คล้ายกับที่เขายืนอยู่เพียงแต่มิได้สลักเป็นแนวเกล็ด เป็นประตูนั่นหรือไม่ที่มัจจุราชผ่านเข้ามา?—และถอยกลับไปทางเดียวกันหลังจากจัดการกับเหยื่อของมันแล้ว?

ชาวซิมเมอเรียนเข้าไปในห้องและปิดประตูลงเบื้องหลังตน เท้าที่เปล่าเปลือยของเขาไร้ซึ่งเกิดเสียงบนพื้นผลึกนั่น ไม่มีเก้าอี้หรือโต๊ะในห้องนั้น มีเพียงเบาะไหมสามสี่ตัวซึ่งปักลายทองเป็นรูปลักษณ์ประหลาดแบบอสรพิษ กับหีบไม้มะฮอกกานีเลี่ยมเงินจำนวนหนึ่ง บ้างก็ถูกปิดผนึกด้วยกุญแจทองคำหนาหนัก บ้างก็เปิดไว้ ฝาสลักของมันหงายไปด้านหลังเผยให้เห็นกองเพชรนิลจินดาซึ่งในสายตาอันตื่นตะลึงของซิมเมอเรียนนั้นเป็นความสวยงามอันรกราวกับไม่มีผู้ใยดี โคแนนสบถเบาๆ คืนนี้เขาได้เห็นความมั่งคั่งมากกว่าทั้งหมดที่เขาเคยคิดว่าจะมีอยู่ในโลกนี้แล้ว และเขาก็เริ่มเวียนหัวเมื่อคิดถึงมูลค่าของมณีที่ตนแสวงหา
ตอนนี้เขามาถึงกลางห้องแล้ว หัวก้มไปด้านหน้าอย่างระแวดระวัง ดาบนำไปก่อน แล้วความตายก็จู่โจมเขาอย่างไร้สุ้มเสียงอีกครั้ง สิ่งเดียวที่เตือนเขาคือเงาที่ทะยานข้ามพื้นเรืองรองนั่น และการกระโดดไปด้านข้างด้วยสัญชาตญาณก็ช่วยชีวิตเขาไว้ เขาได้เห็นความสยดสยองสีดำที่มีขนรุงรังซึ่งแกว่งตัวผ่านเขาไปและคมเขี้ยวที่เป็นฟองสบกันเพียงวูบเดียว แล้วบางสิ่งก็สาดใส่ไหล่เปลือยของเขาซึ่งร้อนไหม้ราวกับหยดของไฟนรกที่หลอมเหลว เขย่งถอยไป ดาบยกขึ้นสูง เขาเห็นสิ่งน่ากลัวนั้นปะทะกับพื้น หมุนตัวแล้ววิ่งมาหาเขาด้วยความเร็วอันน่าตกใจ—แมงมุมยักษ์สีดำ เช่นที่ผู้คนพบเห็นแต่ในฝันร้ายเท่านั้น

มันตัวโตพอๆกับสุกร และขาที่มีขนรุงรังทั้งแปดก็พาร่างยักษ์ของมันข้ามพื้นด้วยย่างก้าวที่เหมือนโถมตัว ดวงตาแวววาวชั่วร้ายทั้งสี่ของมันฉายแสงแห่งสติปัญญาอันน่าพรั่นพรึง และเขี้ยวของมันก็มีพิษหยด ซึ่งโคแนนรู้ได้จากรอยไหม้บนไหล่ของตนที่เพียงแต่โดนเข้าไม่กี่หยดในโตนที่มันโจมตีพลาดนั้นว่าชโลมไว้ด้วยความตายอันรวดเร็ว มันคือเพชฌฆาตที่ทิ้งตัวลงมาจากรังกลางเพดานด้วยใยของมันลงบนคอของชาวเนเมเดียน พวกเขาช่างโง่เขลาที่มิได้คิดว่าห้องชั้นบนนี้จะมีการป้องกันเหมือนชั้นล่าง!

ความคิดเหล่านั้นผ่านจิตของโคแนนไปในชั่วพริบตาที่เจ้าสัตว์ประหลาดวิ่งเข้ามา เขากระโดดขึ้นและมันก็ลอดใต้เขาไป หันตัวกลับแล้ววิ่งกลับมา ครั้งนี้เขาหลบการเข้าหาของมันโดยกระโดดไปด้านข้างและโจมตีกลับไปเหมือนแมว ดาบของเขาตัดขาซึ่งมีขนรุงรังของมันข้างหนึ่งขาด และเขาก็เอาตัวรอดอย่างฉิวเฉียดจากที่สัตว์ร้ายแว้งกัดได้อีกครั้ง เขี้ยวของมันสบกันราวกับปิศาจ แต่เจ้าสัตว์ร้ายก็มิได้ตามต่อ มันหันเลี้ยวแล้ววิ่งข้ามพื้นผลึกและขึ้นตามผนังจนถึงเพดาน ซึ่งมันหมอบลงมองเขาด้วยดวงตาสีแดงของผีร้าย จากนั้นมันก็ดีดตัวข้ามอากาศโดยไม่มีการเตือนใดๆ เส้นใยสีเทาเป็นเมือกตามมาเป็นสาย

โคแนนถอยหลบร่างที่ลอยมานั้น—แล้วก็รีบก้มลงหลบรอดสายใยได้ทันท่วงที เขาเห็นจุดประสงค์ของสัตว์ร้ายและกระโจนไปทางประตู แต่มันก็ไวกว่าและขังเขาด้วยสายใยเหนียวเหนอะข้ามประตู เขาไม่กล้าใช้ดาบตัดมัน ด้วยรู้ว่ามันจะติดกับคมดาบและเจ้าปิศาจร้ายก็จะฝังเขี้ยวลงบนหลังของเขาได้ก่อนที่เขาจะเอามันออกไป

จากนั้นก็คือการชิงชัยที่อันตรายระหว่างไหวพริบและความว่องไวของคนกับเล่ห์กลและความเร็วของแมงมุมยักษ์ มันมิได้วิ่งเข้าหาตรงๆมาตามพื้นหรือเหวี่ยงตัวข้ามอากาศมาหาเขาอีกแล้ว มันแล่นไปตามเพดานและผนัง พยายามจับเขาไว้ด้วยสายใยเหนียวสีเทายาวของมันซึ่งมันฉีดออกมาได้แม่นยำอย่างยิ่งยวด ใยเหล่านี้หนาเหมือนเชือก และโคแนนก็รู้ว่าหากมันรัดเขาได้แล้ว แรงในยามจนตรอกของตนก็ไม่พอจะฉีกมันออกได้ก่อนที่เจ้าอสุรกายจะโจมตี

เจ้าปิศาจเต้นไปทั่วห้องท่ามกลางความเงียบงันเว้นแต่เพียงเสียงหายใจถี่ๆของเขา เสียงเบาๆที่เท้าเขาสีกับพื้นเรืองรอง และเสียงที่เขี้ยวของสัตว์ร้ายกระทบกันถี่ๆ สายใยสีเทาวางขดอยู่บนพื้น มันลากวนไปตามผนัง ซ้อนอยู่บนหีบเพชรพลอยกับเบาะไหม และห้อยเป็นพู่ระย้าขมุกขมัวจากเพดานฝังอัญมณี ดวงตาและกล้ามเนื้ออันฉับไวของโคแนนทำให้เขาแคล้วคลาดมาได้ แม้ว่าสายเหนียวเหนอะนั้นจะผ่านเขาไปอย่างใกล้ชิดจนทำให้หนังเปลือยของเขาถลอก เขารู้ว่าเขาจะหลบมันไปไม่ได้ตลอด ไม่เพียงแต่เขาต้องจับตาดูสายใยที่ห้อยจากเพดาน แต่ยังต้องคอยดูที่พื้นมิเช่นนั้นจะสะดุดขดที่วางอยู่นั่น ไม่ช้าก็เร็วห่วงเหนียวๆก็จะพันรอบตัวเขาดั่งงูเหลือม และเมื่อถูกรัดไว้เช่นดักแด้ เขาก็จะขึ้นอยู่กับความเมตตาของมัน

เจ้าแมงมุมวิ่งข้ามพื้นห้องโดยมีสายใยสีเทาโบกสะบัดตามไปหลังมัน โคแนนโดดขึ้นสูงข้ามเบาะนั่ง—เจ้าปิศาจเลี้ยวอย่างเร็วขึ้นไปบนผนัง แล้วสายใยก็สะบัดจากพื้นเหมือนมีชีวิตฟาดเข้าใส่ข้อเท้าของซิมเมอเรียน เขาใช้มือยันพื้นไว้ได้ในตอนที่ล้มนั่น สะบัดตัวอย่างบ้าคลั่งขณะที่ใยนั้นจับเขาไว้เหมือนคีมที่ยืดหยุ่นหรืออ้อมรัดของงูเหลือม เจ้าปิศาจขนรุงรังแล่นลงมาจากผนังเพื่อจับเหยื่อให้สมบูรณ์ ในภาวะคลุ้มคลั่งนั้น โคแนนคว้าหีบเพชรพลอยใบหนึ่งแล้วทุ่มมันสุดแรงเกิด นี่เป็นการเคลื่อนไหวที่เหนือความคาดหมายของเจ้าอสุรกาย อาวุธขว้างขนาดใหญ่นั้นปะทะเข้าตรงกลางระหว่างขาที่เป็นแขนงของมันพอดี อัดมันเข้ากับผนังด้วยเสียงบดทึบๆที่น่าสยดสยอง เลือดและเมือกสีออกเขียวสาดกระเซ็น และก้อนมวลที่เป็นเสี่ยงๆก็ตกลงมาบนพื้นกับหีบเพชรพลอยที่แตกรั่ว ร่างสีดำยับบู้บี้กองอยู่ท่ามกลางกองอัญมณีที่เป็นประกายปั่นป่วนซึ่งไหลออกมาทับมัน ขาที่เป็นขนของมันเคลื่อนไหวไปมาอย่างไร้ความหมาย ดวงตาที่ใกล้ตายเป็นประกายสีแดงท่ามกลางเพชรพลอยระยิบระยับ

โคแนนมองไปรอบๆ แต่ไม่มีสัตว์ร้ายอื่นออกมาอีก แล้วเขาก็ดึงตัวเองออกจากใย สิ่งนั้นยึดแน่นกับข้อเท้าและมือของเขา แต่ในที่สุดเขาก็เป็นอิสระและหยิบดาบขึ้นมา เขาหาหนทางตามขดและบ่วงสีเทาไปยังประตูชั้นใน ความสยดสยองใดจะรออยู่นั้นเขามิอาจรู้ได้ เลือดของซิมเมอเรียนสูบฉีดแรงขึ้นแล้ว และในเมื่อเขามาไกลถึงเพียงนี้ ฝ่าฟันเภทภัยมามากมาย เขาจึงตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะไปให้ถึงจุดจบของการผจญภัยครั้งนี้ ไม่ว่ามันจะเป็นเช่นไรก็ตาม และเขาก็รู้สึกว่ามณีที่เขาตามหาอยู่นั้นจะไม่อยู่ท่ามกลางที่วางอยู่มากมายอย่างไม่ใยดีทั่วห้องแวววาวนี้

หลังจากที่ปลดสายใยที่เปรอะเปื้อนประตูชั้นในแล้ว เขาก็พบว่ามันมิได้ลั่นดาลไว้เช่นเดียวกับอีกบาน เขาสงสัยว่าพวกทหารข้างล่างจะยังคงไม่รู้ตัวที่เขาอยู่นั่นหรือไม่ เอาเถอะ เขาอยู่สูงขึ้นมาเหนือศีรษะพวกนั้นนัก และหากเรื่องราวต่างๆนั้นเชื่อถือได้ พวกมันก็ชินกับเสียงประหลาดในหอคอยเหนือพวกมันแล้ว—เสียงอันชั่วร้าย และเสียงกรีดร้องของความเจ็บปวดกับความสะพรึงกลัว

ที่เขาคิดอยู่คือยารา และเขาก็ใช่จะสบายใจโดยสิ้นเชิงในตอนที่เปิดประตูทองคำนั้น แต่เขาก็เห็นเพียงขั้นบันไดเงินที่นำลงสู่เบื้องล่าง มีแสงสลัวซึ่งเขามิอาจแน่ใจในที่มาได้ เขาลงไปตามนั้นอย่างเงียบกริบ มือจับดาบไว้ เขามิได้ยินเสียงใด และแล้วก็มาถึงประตูงาช้างซึ่งประดับด้วยศิลาโลหิต เขาเงี่ยหูฟัง แต่ไม่มีเสียงใดจากภายใน มีเพียงควันจางๆที่เล็ดลอดอย่างอ้อยอิ่งจากใต้ประตูซึ่งเป็นกลิ่นประหลาดที่ชาวซิมเมอเรียนไม่คุ้นชิน เบื้องล่างลงไปนั้น ขั้นบันไดเงินลับตาไปในความมืด และไม่มีเสียงใดจากเงามืดนั้น เขามีความรู้สึกที่น่าขนลุกว่ามีตนเพียงผู้เดียวในหอคอยซึ่งมีแต่ผีร้ายอาศัยอยู่
Kuruni   09-16-2014, 11:52 PM
#7
III

เขาผลักประตูงาช้างอย่างระมัดระวังและมันก็แกว่งเข้าด้านในอย่างเงียบกริบ โคแนนมองจากธรณีประตูอันเป็นประกายนั้นเหมือนสุนัขป่าที่อยู่ในสถานประหลาด พร้อมจะสู้หรือหนีได้ในทุกเมื่อ เขามองเข้าไปในห้องใหญ่ซึ่งมีเพดานเป็นโดมทองคำนั้น ผนังเป็นหยกเขียว พื้นงาช้างมีพรมหนาปิดไว้ส่วนหนึ่ง ควันและกลิ่นประหลาดของธูปลอยมาจากเตาไฟบนขาหยั่งทองคำ และเบื้องหลังมันมีรูปปั้นนั่งอยู่บนสิ่งที่ดูเหมือนเตียงหินอ่อน โคแนนมองอย่างตื่นตะลึง รูปปั้นนั้นมีลำตัวของคน เปลือย และเป็นสีเขียว แต่ส่วนหัวนั้นหลุดมาจากฝันร้ายและความวิปลาส มันใหญ่เกินกว่าลำตัวคนและไม่มีลักษณะของมนุษย์ โคแนนมองไปยังหูที่กางกว้างของมัน งวงที่โค้งงอซึ่งสองข้างนั้นมีเขี้ยวงาสีขาวที่ตรงปลายมีลูกกลมทองคำปิดไว้ ดวงตาของมันปิดอยู่ราวกับกำลังหลับ

สิ่งนี้เองคือที่มาของชื่อหอคอยคชสาร เพราะหัวของมันนั้นช่างคล้ายกับเจ้าสัตว์ร้ายที่คนพเนจรชาวเชมิทิชบรรยายไว้ มันคือเทพของยารา เช่นนั้นแล้ว มณีก็ควรอยู่ที่นั่นแต่ถูกปิดบังไว้ในรูปปั้นเพราะมันเรียกว่าหัวใจคชสารหรือไม่?

ตอนที่โคแนนเข้าไปข้างหน้านั้น ตาของเขาก็จับจ้องที่รูปปั้นซึ่งนิ่งสนิท แล้วจู่ๆดวงตาของมันก็ลืมขึ้น! ชาวซิมเมอเรียนนิ่งค้างตรงนั้น มันไม่ใช่รูปเสมือน—สิ่งนี้มีชีวิต และเขาก็ติดอยู่ในห้องของมัน!

การที่เขามิได้คลุ้มคลั่งอย่างบ้าเลือดนั้นเป็นสิ่งที่บ่งชี้ความหวาดกลัวซึ่งทำให้เขาหยุดนิ่ง ณ ตรงที่ยืนอยู่ได้ ผู้เจริญแล้วที่มายืนในที่เดียวกับเขาย่อมจะหาทางหลบเลี่ยงโดยสรุปว่าตนวิปลาสไปแล้ว ชาวซิมเมอเรียนนั้นไม่ได้คิดสงสัยสิ่งที่ตนรับรู้เลย เขารู้ว่าเขากำลังประจันหน้ากับปิศาจแห่งโลกโบราณ และการรับรู้สิ่งนั้นทำให้สติความคิดของเขาหายไปยกเว้นเพียงสายตา

งวงของสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวนั้นยกขึ้นและควานไปรอบๆ ดวงตาสีบุษราคัมของมันเหม่อมองเหมือนไม่เห็นสิ่งใด แล้วโคแนนก็รู้ว่าอสุรกายตนนี้ตาบอด ความคิดนั้นทำให้ประสาทที่เยือกแข็งของเขาอ่อนลง และเขาก็เริ่มถอยเงียบๆไปทางประตู แต่สัตว์ตนนั้นได้ยิน งวงที่ไวต่อสัมผัสยื่นมาทางเขา แล้วความหวาดกลัวของโคแนนก็ทำให้เขาชะงักลงอีกเมื่อสิ่งนั้นเอ่ยปากเป็นเสียงตะกุกตะกักอันแปลกประหลาดซึ่งไม่มีการเปลี่ยนน้ำเสียงหรือจังหวะสูงต่ำเลย ซิมเมอเรียนรู้ว่าขากรรไกรของมันมิได้มีไว้เพื่อพูดภาษาของมนุษย์

“นั่นใคร? เจ้ามาทรมานข้าอีกแล้วหรือ ยารา? เจ้าจะทำมันไปเรื่อยๆหรือไร? โอ ยอกโคชาเอ๋ย ความเจ็บปวดนี้จะไม่มีที่สิ้นสุดหรือ?”

น้ำตาไหลลงมาจากดวงตาอันมองไม่เห็นนั้น แล้วสายตาของโคแนนก็คล้อยไปยังแขนที่ที่เหยียดอยู่บนเตียงหินอ่อน และเขาก็รู้ว่าอสุรกายตนนี้จะไม่ลุกขึ้นมาทำโจมตีเขา เขารู้จักร่องรอยของขื่อคาและรอยตีตราด้วยเปลวไฟอันไหม้เกรียม และแม้จะมีจิตใจแข็งกร้าว เขาก็อดสยดสยองต่อความพิกลพิการที่แตกหักซึ่งตรรกะบอกเขาว่าครั้งหนึ่งนั้นมันเคยเป็นแขนขาที่สมบูรณ์เช่นเดียวกับของเขา แล้วความกลัวกับความรังเกียจก็หายไปจากตัวเขา กลายเป็นความเวทนาอย่างเอกอุ ครั้งหนึ่งอสุรกายตนนี้จะเป็นอย่างไรนั้นโคแนนไม่อาจรู้ได้ แต่หลักฐานของความทรมานนั้นทั้งน่าพรั่นพรึงและน่าสมเพชจนเกิดความโศกเศร้าที่เจ็บปวดอย่างน่าประหลาดต่อชาวซิมเมอเรียนโดยที่เขาไม่รู้ว่าทำไม เขารู้สึกเพียงว่าเขากำลังมองดูโศกนาฏกรรมแห่งจักรวาล และเขาก็รู้สึกอับอายขายหน้า ราวกับบาปของทั้งเผ่าพันธุ์นั้นโถมลงใส่เขา

“ข้าไม่ใช่ยารา” เขาพูด “ข้าเป็นแค่หัวขโมย ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก”

“เข้ามาใกล้ๆให้ข้าสัมผัสเจ้าได้สิ” สัตว์ตนนั้นกล่าวอย่างตะกุกตะกัก และโคแนนก็เข้าใกล้อย่างไร้ความหวาดกลัว ดาบในมือนั้นห้อยลงอย่างไม่ใส่ใจ งวงอันไวต่อสัมผัสยืนออกมาและลูบคลำบนใบหน้าและไหล่ของเขาเช่นเดียวกับการลูบคลำของคนตาบอด และสัมผัสของมันก็เบาบางเช่นของดรุณี

“เจ้ามิใช่เผ่าปิศาจร้ายของยารา” สัตว์ตนนั้นถอนใจ “มีรอยแห่งความป่าเถื่อนอันบริสุทธิ์ของแดนรกร้างบนตัวเจ้า ข้ารู้จักชนของเจ้าในครั้งโบราณ ซึ่งข้าเคยรู้ในชื่ออื่นเมื่อนานนมมาแล้ว ในยามที่โลกอื่นชูยอดฝังอัญมณีขึ้นสู่ดวงดาว นิ้วเจ้าเปื้อนโลหิต”

“แมงมุมในห้องข้างบนกับสิงโตในสวน” โคแนนพูดเบาๆ “เจ้ายังได้สังหารมนุษย์ในคืนนี้ด้วย” อีกฝ่ายตอบ “และยังมีผู้อื่นตายในหอคอยข้างบน ข้ารู้สึกได้ ข้ารู้”

“ใช่” โคแนนรำพึง “เจ้าชายแห่งหัวขโมยทั้งปวงนอนอยู่ที่นั่น สิ้นใจเพราะรอยกัดของสัตว์โสโครก”

“เป็นเช่นนั้น—และเป็นเช่นนั้น!” เสียงผิดมนุษย์อันแปลกประหลาดดังขึ้นเหมือนคำสวดเบาๆ “การสังหารในโรงเหล้า กับการสังหารบนหลังคา—ข้ารู้ ข้ารู้สึก และครั้งที่สามก็จะเกิดมนตราซึ่งแม้แต่ยาราก็มิอาจฝันถึง—โอ มนตราแห่งการปลดปล่อย เหล่าเทพขจีแห่งแย็ก!”

อีกครั้งหนึ่งที่น้ำตาไหลรินจากร่างที่ถูกทรมานซึ่งโยกไปมาด้วยอารมณ์อันหลากหลาย โคแนนมองอย่างตื่นๆ

แล้วการสั่นไหวก็หยุดลง ดวงตาอันมืดบอดอ่อนโยนนั้นหันมาทางซิมเมอเรียน กวักงวงเข้า

“โอ ฟังเถิดมนุษย์” สิ่งประหลาดนั้นพูด “ข้าคือสิ่งที่เลวทรามและน่าเกลียดสำหรับเจ้าใช่หรือไม่? ไม่ ไม่ต้องตอบหรอก ข้ารู้ แต่หากข้ามองเห็นเจ้า เจ้าก็จะเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดเช่นกัน นอกจากโลกนี้ยังมีโลกอื่นอีกมากมาย และชีวิตนั้นก็มีหลายรูปลักษณ์ ข้ามิใช่เทพหรือปิศาจ แต่เป็นเนื้อหนังและโลหิตเหมือนกับเจ้า ถึงแม้ส่วนประกอบจะแตกต่างกันบ้าง และรูปลักษณ์นี้ก็ก่อเกิดมาต่างกัน

“ข้าอายุมากแล้ว โอ มนุษย์แห่งแดนรกร้างเอ๋ย นานมาแล้วที่ข้ามายังดาวดวงนี้พร้อมกับผู้อื่นจากโลกของข้า จากดาวเคราะห์เขียวแห่งแย็กซึ่งหมุนวนอยู่ขอบนอกของเอกภพนี้มาช้านาน พวกเราผ่านห้วงอวกาศด้วยปีกอันทรงพลังที่พาพวกเราข้ามจักรวาลได้เร็วยิ่งกว่าแสง ด้วยว่าพวกเราได้ทำสงครามกับเหล่าราชาแห่งแย็ก แล้วก็พ่ายแพ้และถูกเนรเทศ แต่พวกเราไม่อาจกลับไปได้ ด้วยว่าบนโลกนี้ปีกของเราก็แห้งเหี่ยวหลุดไปจากบ่า ณ ที่นี้ เราได้ตั้งรกรากห่างจากชีวิตของโลก เราได้ต่อสู้กับรูปแบบของชีวิตอันประหลาดและน่าพรั่นพรึงซึ่งครั้งนั้นเดินอยู่บนผืนปฐพี เพื่อที่เราจะเป็นที่เกรงขามและไม่มีผู้ใดจะมารุกรานในป่าอันมืดสลัวแห่งทิศตะวันออกอันเป็นที่พำนักของเรา

“เราได้เห็นมนุษย์เติบโตจากวานร และสร้างนครอันเจิดจ้าแห่งวาลุสเซีย คาเมเลีย คอมมอเรีย และพี่น้องของพวกมัน เราได้เห็นพวกนั้นยื้อต่อการรุกรานจากพวกป่าเถื่อนชาวแอตแลนเทียน กับ พิคท์ และ เลมูเรียน เราได้เห็นมหาสมุทรสูงขึ้นและกลืนกินแอตแลนติสกับเลมูเรีย และหมู่เกาะของพิคท์ แล้วก็เหล่านครอันเจิดจรัสแห่งวัฒนธรรม เราได้เห็นผู้รอดชีวิตแห่งอาณาจักรพิคท์กับแอตแลนติสสร้างจักรวรรดิยุคหินของพวกมัน และกลายเป็นซากปรักหักพังในสงครามอันโหดร้าย เราได้เห็นพวกพิคท์ตกต่ำลงสู่ความป่าเถื่อน พวกแอตแลนเทียนคืนสู่อาณาจักรวานรอีกครั้ง เราได้เห็นชนของเจ้าเจริญขึ้นใต้นามใหม่ในป่าแห่งวานรซึ่งครั้งหนึ่งคือชาวแอตแลนเทียน เราได้เห็นทายาทแห่งเลมูเรียนที่รอดจากหายนะมาได้นั้นเจริญขึ้นอีกครั้งจากความป่าเถื่อน และไปยังตะวันตกเป็นไฮร์คาเนียน และเราก็ได้เห็นเผ่าพันธุ์แห่งปิศาจร้าย ผู้เหลือรอดจากอารยธรรมโบราณก่อนที่แอตแลนติสจะจมหาย ได้กลับสู่วัฒนธรรมและอำนาจอีกครั้ง—อาณาจักรซามอราอันสารเลวแห่งนี้

“พวกเราเห็นทั้งหมดนั้นโดยมิได้ช่วยเหลือหรือขัดขวางกฎอันเป็นนิรันดรแห่งจักรวาล แล้วพวกเราก็ตายไปทีละคน ด้วยว่าเราชาวแย็กนั้นมิได้เป็นอมตะ แม้ว่าชีวิตของเราจะเทียบได้กับชีวิตของดาวเคราะห์และหมู่ดาวก็ตาม ที่สุดแล้วก็เหลือข้าเพียงผู้เดียวที่ฝันถึงเวลาแต่การก่อนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังในป่าลึกแห่งคิไท ได้รับการบูชาเช่นเทพเจ้าจากเผ่นโบราณผิวเหลือง แล้วยาราก็มาพร้อมกับความรู้อันมืดมิดที่สืบทอดมาผ่านยุคสมัยแห่งความป่าเถื่อนตั้งแต่ก่อนที่แอตแลนติสจะจมหาย

“ตอนแรกนั้นเขาคุกเข่าแทบเท้าข้าและร่ำเรียนวิชา แต่เขาไม่พอใจในสิ่งที่ข้าสอนให้เขาด้วยว่ามันเป็นมนต์ขาวและเขาปรารถนาในศาสตร์ชั่วร้าย เพื่อที่จะทำให้เหล่าราชาเป็นข้าทาสและเติมเต็มความทะเยอทะยานอันโหดเหี้ยม ข้าตั้งใจจะไม่สอนเขาถึงความลับอันดำมืดซึ่งข้าได้เรียนรู้มาโดยไม่ปรารถนาจากกาลเวลายาวนานนั้น

“แต่วิชาของเขามีมากกว่าที่ข้าเคยคาดไว้ ด้วยเล่ห์กลที่ได้มาจากหลุมศพอันมืดมนแห่งสไตเกีย เขาหลอกล่อให้ข้าแย้มพรายความลับที่ข้าไม่ตั้งใจเปิดเผย แล้วก็ใช้พลังของข้ากับข้าเอง เขาทำให้ข้าเป็นทาส อา ทวยเทพแห่งแย็ก ตั้งแต่นั้นมาข้าขื่นขมนัก!

“เขาพาข้าออกจากป่าลึกแห่งคิไทซึ่งมีวานรเทาเต้นระบำตามเสียงปี่ของนักพรตเหลืองและผลไม้กับไวน์ซึ่งกองถวายไว้บนแท่นบูชาที่แตกหักของข้า ข้ามิใช่เทพของชาวป่าผู้ดีงามอีกแล้ว—ข้าคือทาสของปิศาจในคราบมนุษย์”

น้ำตาไหลจากดวงตาที่มองไม่เห็นนั้นอีกครั้ง

“เขากักขังข้าในหอคอยซึ่งข้าสร้างขึ้นในคืนเดียวตามคำสั่งของเขาแห่งนี้ เขาควบคุมข้าด้วยเปลวไฟและขื่อคา กับการทรมานที่ประหลาดนอกเหนือจากโลกนี้ซึ่งเจ้าไม่มีทางเข้าใจ ด้วยความทรมานนั้น ถ้าข้าปลิดชีพตนได้ก็คงทำเสียนานแล้ว แต่เขาทำให้ข้ายังอยู่—อย่างแหลกเหลว มืดบอด และแตกหัก—เพื่อทำในสิ่งชั่วร้ายของเขา และสามร้อยปีแล้วที่ข้าทำการให้เขา จากเตียงหินอ่อนนี้ ทำให้วิญญาณของข้ามืดดำด้วยบาปแห่งจักรวาล และปัญญาของข้าก็แปดเปื้อนด้วยอาชญา เพราะข้าไม่มีทางเลือกอื่น แต่ก็มิใช่ว่าเขาจะเอาความลับโบราณไปจากข้าได้หมด และของขวัญสุดท้ายจากข้าก็จะเป็นมนตราแห่งโลหิตและอัญมณี

“ด้วยว่าข้ารู้สึกได้ถึงจุดจบที่จะมาถึง เจ้าคือหัตถ์แห่งโชคชะตา ข้าขอร้องเจ้า นำมณีที่อยู่บนแท่นทางโน้นมา”

โคแนนหันไปยังแท่นทองคำและงาช้างที่ถูกชี้ และยกอัญมณีกลมใหญ่ขึ้นมา มันใสเหมือนผลึกสีแดงเลือด และเขารู้ว่าสิ่งนี้ย่อมเป็นหัวใจคชสาร

“ทีนี้ก็คือมหามนตรา เวทมนต์อันยิ่งใหญ่ที่ก่อนนี้โลกไม่เคยเห็นมาก่อนและจะไม่ได้เห็นอีกในล้านล้านสหัสวรรษ ข้าร่ายมันด้วยเลือดและชีวิตของข้า ด้วยโลหิตที่เกิดจากอ้อมอกขจีแห่งแย็ก ฝันและทรงอยู่ท่ามกลางห้วงสีน้ำเงินอันไพศาลของอวกาศ

“หยิบดาบของเจ้า มนุษย์เอ๋ย ผ่าหัวใจข้าออกมา แล้วก็รีดมันให้โลหิตไหลลงบนศิลาแดงนั้น จากนั้นเจ้าก็ลงไปตามบันไดนั้นและเข้าไปในห้องไม้กฤษณาซึ่งยารานั่งอยู่ในความฝันอันชั่วร้าย เอ่ยนามเขาแล้วเขาจะตื่น จากนั้นก็วางมณีนี้ลงเบื้องหน้าเขาแล้วกล่าวว่า ‘ยอกโคชาขอมอบของขวัญสุดท้ายและอาคมสุดท้ายให้’ แล้วออกจากหอคอยโดยเร็ว จงอย่ากลัว หนทางของเจ้าจะปลอดโปล่ง ชีวิตของมนุษย์มิใช่ชีวิตของแย็ก และความตายของมนุษย์ก็ไม่ใช่ความตายของแย็ก ช่วยให้ข้าเป็นอิสระจากคุกแห่งเนื้อหนังอันแตกหักมืดบอดนี้ แล้วข้าก็จะกลับเป็นโยกาห์แห่งแย็กอีกครั้งหนึ่ง สวมมงกุฎแห่งอรุณและเจิดจรัส มีปีกที่ใช้โบยบิน กับเท้าที่ใช้เต้นระบำ และดวงตาที่ใช้มองเห็น แล้วก็มือที่ใช้ทุบทำลาย”

โคแนนก้าวเข้าหาอย่างไม่แน่ใจ และราวกับรับรู้ถึงความลังเลของเขาได้ ยอกโคชาหรือโยกาห์ก็ชี้ให้ดูที่ที่เขาควรลงมือ โคแนนกัดฟันแล้วแทงดาบเข้าไปลึก โลหิตไหลพุ่งออกมาใส่คมดาบกับมือของเขา และสัตว์ประหลาดนั้นก็ตัวสั้นเทิ้มก่อนจะกลับไปนิ่งสนิท เมื่อแน่ใจว่าชีวิตนั้นได้จากไปแล้ว อย่างน้อยก็ชีวิตในนิยามที่เขาเข้าใจ โคแนนก็เริ่มทำภารกิจอันน่าสะพรึงของตนและดึงสิ่งที่เขารู้สึกว่าควรเป็นหัวใจของสิ่งประหลาดนั้นออกมา แม้ว่ารูปลักษณ์อันน่าพิศวงของมันจะแตกต่างจากที่เขาเคยเห็นมาทั้งปวง เขาถืออวัยวะที่ยังเต้นอยู่นั้นไว้เหนือมณีอันร้อนแรงแล้วใช้สองมือบีบมัน แล้วหยาดโลหิตก็สาดซัดลงบนศิลานั้น เขาแปลกใจที่มันมิได้ไหลออกไป แต่กลับถูกดูดซับเข้าไปในมณีราวกับฟองน้ำดูดซับน้ำ

เขาประคองอัญมณีนั้นอย่างระมัดระวังออกจากห้องประหลาดจนถึงบันไดเงิน เขามิได้หันกลับไปมอง สัญชาตญาณบอกเขาว่ามีความเปลี่ยนแปลงแบบหนึ่งเกิดขึ้นกับร่างบนเตียงหินอ่อนนั้น และเขายังรู้สึกด้วยว่ามันมิใช่สิ่งที่ควรมีสายตามนุษย์รู้เห็น

เขาปิดประตูงาช้างลงเบื้องหลังและก้าวลงบันไดเงินไปโดยไม่ลังเล เขามิได้มีแม้แต่ความคิดที่จะละเลยคำแนะนำที่ได้รับมานั้น เขาหยุดอยู่ที่ประตูไม้กฤษณาซึ่งตรงกลางนั้นเป็นหัวกะโหลกเงินที่กำลังแสยะยิ้ม แล้วก็ผลักเข้าไป เขามองเข้าไปในห้องซึ่งดำมืด และก็ได้เห็นร่างผอมนอนเหยียดอยู่บนเบาะไหมดำ นักพรตและพ่อมดยารานอนอยู่ต่อหน้าเขา เขาลืมตาอยู่ท่ามกลางกลิ่นของดอกบัวเหลือง สายตานั้นทอดไกลออกไป ราวกับว่ากำลังจับจ้องห้วงโลกันตร์อันดำมืดซึ่งอยู่เหนือขอบความรู้ของมนุษย์

“ยารา!” โคแนนพูดราวกับเป็นตุลาการที่ประกาศถึงความหายนะ “ตื่นขึ้น!”

ดวงตาคู่นั้นแจ่มใสขึ้นทันทีแล้วกลายเป็นเย็นชาอำมหิตเช่นนกแร้ง ร่างสูงในชุดไหมนั้นยืดตัวขึ้น และก็ยืนค้ำอยู่เหนือชาวซิมเมอเรียน

“เจ้าสุนัข!” เสียงขู่ของเขาเหมือนงูจงอาง “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”

โคแนนวางอัญมณีลงบนโต๊ะไม้กฤษณาขนาดใหญ่

“ผู้ให้ข้านำมณีนี้มาให้ข้าบอกว่า ‘ยอกโคชาขอมอบของขวัญสุดท้ายและอาคมสุดท้ายให้’”

ยาราผงะ ใบหน้าที่มืดมนนั้นซีดลง มณีนั้นมิได้ใสดั่งผลึกอีกต่อไปแล้ว ความขุ่นลึกลงไปนั้นเต้นเป็นจังหวะและมีควันอันน่าพิศวงซึ่งเปลี่ยนสีสันผ่านไปมาบนผิวหน้าราบเรียบของมัน ราวกับต้องมนต์สะกด ยาราค้อมตัวเหนือโต๊ะนั้นและใช้สองมือจับอัญมณี มองลงไปในห้วงลึกใต้เงาของมันราวกับมีแม่เหล็กดึงดูดวิญญาณที่กำลังสั่นกลัวของเขาไว้ โคแนนที่มองอยู่นั้นตอนแรกก็คิดว่าตนตาฝาดไป เพราะในตอนที่ยาราลุกขึ้นจากที่นอนของตนนั้น นักพรตผู้นี้สูงราวกับยักษ์ แต่ตอนนี้เขากลับเห็นว่าศีรษะของยารานั้นเพียงบ่าของตนเท่านั้น เขากะพริบตาอย่างงุนงง และก็เป็นครั้งแรกในคืนนั้นที่เขากังขาต่อสัมผัสของตน ตามด้วยความตกใจเมื่อรู้ตัวว่าร่างนักพรตนั้นกำลังหดลง—เล็กลงไปเรื่อยต่อหน้าต่อตาเขา

เขามองดูด้วยความรู้สึกแปลกแยกออกมาเช่นที่คนมองดูการแสดง ถูกถาโถมด้วยความรู้สึกเหนือธรรมชาติอันทรงพลัง ตอนนี้ซิมเมอเรียนไม่แน่ใจในตัวตนของตนเองแล้ว เขารู้เพียงว่าตนกำลังมองดูหลักฐานภายนอกแห่งการแสดงที่ไม่อาจมองเห็นของอำนาจอันไพศาลจากห้วงอื่นอันห่างไกลเกินความเข้าใจของเขา

ตอนนี้ยารามิได้โตไปกว่าเด็กเลย เขานอนแผ่บนโต๊ะราวกับทารกโดยที่ยังกุมอัญมณีไว้ และแล้วพ่อมดก็รู้ถึงชะตากรรมของตนเองแล้วก็กระโดดขึ้น ปล่อยมณีลง แต่เขาก็ยังหดเล็กลง และโคแนนก็เห็นร่างเล็กแคระวิ่งไปมาอย่างคลุ้มคลั่งบนโต๊ะไม้กฤษณา กวัดแกว่งแขนเล็กๆและส่งเสียงแหลมที่เหมือนเสียงของแมลง

ตอนนี้เขาหดลงจนมหามณีตระหง่านเหนือเขาเหมือนภูผา แล้วโคแนนก็เห็นเขาใช้สองมือปิดดวงตาราวกับเพื่อปิดป้องมันจากแสงพร้อมกับที่เดินซนเซเหมือนผู้วิปลาส โคแนนรู้สึกได้ว่ามีอำนาจดึงดูดที่มองไม่เห็นดึงยาราเข้าไปหาอัญมณี เขาวิ่งวนอย่างคลุ้มคลั่งเป็นวงเล็กๆรอบมันสามครั้ง อีกสามครั้งที่เขากระเสือกกระสนจะหันกลับและวิ่งออกไปอีกด้านของโต๊ะ ก่อนที่จะกรีดร้องด้วยเสียงที่สะท้อนเบาๆในหูของผู้ที่มองดู นักพรตผู้นั้นก็ยกแขนขึ้นแล้ววิ่งตรงเข้าหาทรงกลมอันเจิดจ้านั้น

เมื่อก้มลงไปใกล้ โคแนนก็เห็นยาราปีนขึ้นไปบนผิวโค้งเรียบอย่างไม่น่าเป็นไปได้ เหมือนกับคนปีนไปบนภูเขาแก้ว ตอนนี้นักพรตนั้นยืนอยู่ด้านบนโดยที่ยังกวัดแกว่งแขน เรียกหาชื่ออันน่าสะพรึงกลัวที่มีแต่ทวยเทพจะรู้จัก แล้วจู่ๆเขาก็จมลงไปยังใจกลางของมณีราวกับคนจมลงไปในน้ำ แล้วโคแนนก็เห็นคลื่นเป็นควันปิดลงเหนือศีรษะเขา ตอนนี้เขาเห็นคนผู้นั้นอยู่ในใจกลางสีแดงเลือดของมณีซึ่งกลายเป็นผลึกใสอีกครั้ง ราวกับกำลังมองเหตุการณ์ที่อยู่ห่างไกลออกไปจนดูเล็กจ้อยร่อย และในใจกลางนั้นก็มีร่างสีเขียวมีปีกที่ส่องประกายเข้ามา ร่างของคนกับหัวของช้าง—ซึ่งมิได้พิการหรือตาบอดอีกแล้ว ยาราแกว่งแขนและวิ่งหนีเหมือนที่ผู้วิปลาสหนีโดยมีผู้ล้างแค้นตามไปติดๆ และแล้ว มหามณีก็หายไปในแสงสีรุ้งราวกับฟองสบู่แตก แล้วโต๊ะไม้กฤษณานั้นก็ว่างเปล่า—โคแนนนั้นรู้ได้ว่ามันก็เช่นเดียวกับเตียงหินอ่อนในห้องเบื้องบน ที่ที่ร่างของสิ่งประหลาดจากจักรวาลซึ่งเรียกว่ายอกโคชาและโยกาห์เคยนอนอยู่

ซิมเมอเรียนหันกลับแล้วออกไปจากห้อง ลงไปตามบันไดเงิน เขามึนงงจนมิได้คิดออกจากหอคอยด้วยทางเดียวกับที่เข้ามา เขาวิ่งลงไปตามแอ่งเงาสีเงินที่วนไปมา และก็มาถึงห้องขนาดใหญ่ที่ปลายบันไดเงิน เขาหยุดชะงัก ณ ที่นั้น เขามาถึงห้องของพวกทหารแล้ว เขาเห็นประกายของเกราะเงิน เงาของด้ามดาบฝังเพชรพลอยของพวกนั้น พวกมันฟุบอยู่ที่โต๊ะอาหาร ขนนกที่หมองมัวแกว่งเอื่อยๆเหนือหมวกเหล็กที่ก้มลง พวกมันนอนอยู่ท่ามกลางลูกเต๋าและจอกที่ล้มลงบนพื้นรัตนชาติที่เปื้อนไวน์ และเขาก็รู้ว่าพวกมันตายแล้ว เป็นไปตามสัญญาที่ให้ไว้ จะเป็นเพราะมนตรา หรือเงาของปีกสีเขียวนั้นได้หยุดการสังสรรค์นั้น โคแนนมิอาจล่วงรู้ได้ แต่หนทางของเขาก็ปลอดโปล่ง และประตูเงินนั้นก็เปิดอยู่ให้เห็นแสงอรุณสีขาว

ซิมเมอเรียนออกมายังสวนสีเขียวที่พลิ้วไหว และเมื่อสายลมแห่งรุ่งอรุณพัดกลิ่นหอมเย็นของพืชพรรณที่อุมสมบูรณ์มาสัมผัสกายเขานั้น เขาก็สะดุ้งเหมือนตื่นจากฝัน เขาหันกลับไปอย่างไม่แน่ใจเพื่อมองดูหอคอยลึกลับที่เขาเพิ่งออกมา เขาต้องมนตรามาหรือ? ทั้งหมดที่ผ่านมานั้นเป็นความฝันหรือเปล่า? ตอนที่เขามองอยู่นั้นเขาก็เห็นหอคอยแวววาวเอียงกับแสงอรุณสีแดง ขอบริมฝังเพชรพลอยของมันเป็นสะท้อนเป็นประกายกับแสงที่จ้าขึ้น แล้วก็ล้มลงแตกเป็นเศษสว่างไสว
Mysticphoenix   09-17-2014, 11:38 AM
#8
อ่านผ่านๆ เป็น คสช

[Image: webboard%20signature1_zpskhtut2jg.png]
การทำอาหารที่อร่อยที่สุด และเดือดร้อนชาวบ้านมากที่สุด กำลังจะเริ่มขึ้น
  
Users browsing this thread: 1 Guest(s)
Powered By MyBB, © 2002-2024 MyBB Group.
Made with by Curves UI.