irpg Community

Full Version: นิยายแต่งเล่น "ป้ายรถเมล์"
You're currently viewing a stripped down version of our content. View the full version with proper formatting.
วันนี้ว่างสุดๆหลังจากปลดเปลื้องภาระทุกอย่างออกไป ก็เลยเอานิยายที่แต่งเล่นๆมาลงให้ทุกท่านอ่านดีกว่า เป็นเรื่องราวรักใสๆที่ป้ายรถเมล์ เชิญติดตามชมครับ

ปล.นิยายเรื่องนี้อาจจะยาวสักหน่อย กรุณาหาของกินไปด้วยอ่านไปด้วย ระวังหิวตาย

[color=#000000]ในวันที่ฝนตกหนักที่สุดในรอบเดือน มันดันตกในเวลาที่ผมเพิ่งเลิกเรียนและไม่ได้พกร่มมาด้วย ทำให้ผมต้องวิ่งสุดแรงเพื่อหลบฝน ระหว่างทางที่ผมวิ่งนั้นดันเป็นทางโล่งที่ไม่มีที่ร่มไว้ใช้หลบฝนได้เลย ในขณะที่หยาดฝนตกลงมากระทบตัวผมเรื่อยๆ สายตาของผมพลันก็เห็นสิ่งหนึ่งเข้า
สะพานลอย
“ในที่สุดก็มีที่หลบสักที”ผมบ่นออกมาก่อนตรงไปหลบฝนที่ใต้สะพานลอยแห่งนั้น ก่อนที่สายตาจะไปสังเกตรอบๆเพื่อดูว่าตนเองอยู่ที่ไหน
สะพานลอยแห่งนี้อีกฟากหนึ่งอยู่ติดกับป้ายรถเมล์ป้ายหนึ่งที่มีศาลาที่นั่งรอรถ แถมนี้เต็มไปด้วยกำแพงที่รายล้อมอาคารต่างๆไว้ สายตาของผมไปสะดุดกับสิ่งหนึ่งเข้า
ผู้หญิง เธอยืนอยู่คนเดียวที่ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามกับผม เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ผมยาวถูกรวบมัดที่ส่วนปลายของผมสีดำก่อนเอามันมาไว้ข้างหน้า เธอสวมเสื้อนักเรียนของโรงเรียนหนึ่ง ซึ่งผมจำได้ว่าเป็นโรงเรียนดังแถวๆนี้ น่าแปลกที่เธออยู่ในที่ที่มีหลังคาบังอย่างป้ายรถเมล์อยู่แล้ว ยังจะเอาร่มมากางไว้อีก เป็นร่มสีดำทำให้เธอคนนั้นดูลึกลับน่าค้นหาขึ้นมาก แววตาของเธอจ้องมองมาที่ผมด้วยความรู้สึกที่ผมยากจะบอกถูก
ในขณะที่ผมกำลังตกอยู่ในภวังค์ สายฝนที่ตกลงมาก็หยุดลง ผมได้สติกลับมาก่อนมองไปบนฟ้า เมื่อไม่มีฝนตกแล้วก็เปิดโอกาสให้ผมวิ่งกลับบ้านไปได้ ก่อนที่จะวิ่งออกจากที่ตรงนี้ผมหันกลับไปมองที่ป้ายรถเมล์อีกครั้ง ผู้หญิงคนนั้นก็หายไปแล้ว
ลืมแนะนำตัวไป ผมชื่อ อัครวัฒน์ วรกุลพิทักษ์ นักเรียนของโรงเรียนประจำจังหวัดแห่งหนึ่ง เป็นนักเรียนชั้น ม.4 ผมย้ายมาตามพ่อที่เป็นข้าราชการทำให้ไม่ค่อยสนิทกับใครมากนักในโรงเรียน แต่ผมก็ยังมีไอ้โต้ง และไอ้กฎที่ยังพอคบเป็นเพื่อนได้ บ้านผมอยู่ใกล้โรงเรียนเลยทำให้ผมต้องเดินเท้ากลับบ้านเอง ผมไม่ค่อยรู้เรื่องแถวนี้ดีสักเท่าไหร่ทำให้อาจหลงทางได้ง่าย อย่างคราวนี้ที่ผมเผลอหาทางหลบฝนจนโผล่มาที่ตรงนั้นได้
วันนี้ผมกลับบ้านช้านิดหน่อยเพราะติดฝน พอกลับมาถึงก็เจอเขามาถามหาว่าทำไมถึงกลับบ้านช้า ก็ตอบไปว่าหลบฝนอยู่ ก่อนมองเวลาด้วยความแปลกใจเพราะผมกลับมาในเวลาหกโมงเย็น ทั้งๆที่บ้านอยู่ใกล้โรงเรียน สงสัยฝนจะตกนาน
“นี่ไอ้วัฒน์ การบ้านคณิตเอ็งเสร็จยัง มาให้ลอกหน่อย”ไอ้โต้ง เพื่อนของผมพูดขึ้นในตอนเช้าของวันต่อมา ทำให้ผมต้องทำหน้าเหนื่อยใจนิดหนึ่งก่อนหยิบการบ้านให้มันไป เมื่อวานหลังจากกลับบ้านก็รีบเอาของออกจากกระเป๋ามาตากให้แห้ง และเอาการบ้านเลขมาทำให้เสร็จโดยเร็ว จากนั้นก็เข้าไปเล่นเฟสบุ๊คอีกสองชั่วโมง พ่อก็ไล่ให้ผมเข้าไปนอน
ช่วงเวลาที่ผมนอน ผมรู้สึกประหลาดใจมากที่นึกถึงผู้หญิงที่ถือร่มเมื่อตอนนั้นไม่หายมันเป็นความรู้สึกแปลกๆที่บอกไม่ถูกนัก
หลังจากเรียนเสร็จไปหนึ่งวัน เหล่าเพื่อนในห้องยังไม่ยอมกลับ เพราะกำลังเล่าเรื่องผีไปมาอย่างสนุกสนาน โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยชอบเรื่องแบบนี้สักเท่าไหร่จึงขอตัวกลับบ้านก่อน เมื่อผมเดินออกจากโรงเรียน หยาดฝนก็โปรยลงมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมไม่ประมาทเหมือนเมื่อหยิบร่มออกมากางก่อนเดินออกไป
ผมเดินไปตามทางรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่ามาอยู่ที่ป้ายรถเมล์นี้อีกครั้ง และที่นั้นมีผู้หญิงคนนั้นอยู่ด้วย
‘ผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว’ผมคิดในใจ รู้สึกแปลกใจที่เห็นผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่เดิมและยังกางร่มไว้ทั้งๆที่อยู่ใต้หลังคาป้ายรถเมล์อยู่แล้ว
“อ๊ะ”ระหว่างที่ผมกำลังคิดก็เกิดกระแสลมกรรโชกอย่างแรงพัดร่มของผมจนหลุดออกจากในมือ ร่มถูกกระแสลมพัดไปทางผู้หญิงคนนั้น ก่อนหยุดลงที่ข้างเท้าของเธอ
“ขอโทษน่ะครับ จับร่มให้หน่อย”ผมรีบบอกอย่างนั้นไป เพราะกลัวลมจะพัดมาอีก เดี๋ยวร่มจะปลิวไปจนเก็บไม่ได้
ผู้หญิงคนนั้นก้มลงเก็บร่มให้ผมโดยดี ก่อนยื่นร่มให้แก่ผม
“นี่ ร่มของนาย”ผู้หญิงคนนี้พูดขึ้น ผมก็รับมันโดยดีก่อนจ้องสังเกตเธอคนนั้น
เธอคนนั้นเป็นผู้หญิงผมยาวที่มัดหางม้าเอาไว้ก่อนปัดเปียผมมาไว้ดานหน้า ใบหน้าขาวอมชมพูดูสง่าสวยงาม กับแววตาสีดำราวกับท้องฟ้าในคืนเดือนดับสะกดให้ผมจ้องมองเธออย่างละสายตาไม่ได้
“หน้าฉันมีอะไรหรอค่ะ”หญิงสาวคนนี้พูดขึ้น ทำให้ผมกลับมามีสติอีกครั้งหนึ่งก่อนรู้สึกอายๆที่ไปจ้องหน้าคนแปลกหน้าขนาดนั้น
“เปล่าครับ แต่ขอบคุณน่ะครับที่เก็บร่มของผมให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ”หญิงสาวตอบรับตามมารยาท จากนั้นก็นิ่งเงียบไป
ผมเกิดอาการทำอะไรไม่ถูกไม่รู้จะชวนคุยอะไรดี เพราะผมต้องรอนั่งรถเมล์ไปทำธุระที่อื่นซะด้วย แต่ที่ป้ายรถเมล์มีเพียงแค่ผมกับผู้หญิงคนนี้ แค่สองต่อสองเท่านั้น
“จะว่าไปคุณมาขึ้นรถเมล์ที่ป้ายนี้ตลอดเลยหรอครับ”ผมตัดสินใจรวบรวมความกล้าเอ่ยถามออกไป หญิงสาวอึ้งเล็กน้อยที่จู่ๆมีคนพูดออกมาหลังจากเงียบมานาน ก่อนรู้ตัวว่าผมกำลังคุยกับเธอก็ตอบออกไปทันที
“ใช่ค่ะ ฉันเรียนอยู่มัธยมปลายเอกชนแถวๆนี้ ป้ายนี้เป็นป้ายที่ใกล้โรงเรียนมากที่สุด”คำตอบของเธอ ทำให้ผมต้องสำรวจเธอใหม่ พบว่าเธอใส่เครื่องแบบที่แตกต่างจากโรงเรียนรัฐบาลอยู่มากเพราะมีเนคไทสีฟ้าประดับอยู่ติดเข็มกลัดเป็นตราโรงเรียนแห่งหนึ่งเอาไว้
“จะว่าไป ป้ายนี้มีคนมาน้อยจังเลย รถก็ไม่ค่อยจะผ่านด้วย”ผมพูดออกมาหลังจากสังเกตมานานแล้วว่ารถยนต์นานๆจะผ่านมาที ถนนแทบโล่งทำให้รถยนต์ที่ผ่านมาทางนี้ค่อนข้างขับเร็วจนน่าหวาดเสียว
“เดี๋ยวก็มีรถมาแล้วค่ะ”หญิงสาวคนนั้นตอบออกมา ก่อนที่บรรยากาศจะเริ่มอึดอัดอีกครั้งเพราะไม่มีอะไรจะพูดด้วย
จะว่าไปในช่วงตอนฝนตกนั้นมักมีสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำออกมาร้องกันระงม แม้แต่ที่ป้ายรถเมล์แห่งนี้ก็มีเจ้าสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอย่างกบออกมาด้วย
“อ๊บ”
จะโผล่มาที่ไหนไม่โผล่ ดันมาโผล่ใกล้ขาของผม เนื่องจากผมนอกจากจะเกลียดเรื่องผีแล้วยังเกลียดกบอีกด้วย ด้วยความตกใจผมจึงพุ่งไปเกาะสิ่งหนึ่งเป็นที่พึ่งทันที
“แว้ก กบ”
ผมรู้สึกถึงความนุ่มนิ่มของสิ่งที่เกาะ ความเย็นเล็กน้อยผ่านเข้าสู่ร่างของผม ก่อนที่ผมจะหันไปเห็นว่าตัวเองกำลังกอดหญิงสาวคนนั้นอยู่ ใบหน้าของเธอออกสีแดงปนชมพูเล็กน้อย
“เหวอ ผมขอโทษครับ”ผมรู้สึกอายเล็กๆที่จู่ๆพุ่งไปเกาะผู้หญิงอื่นอย่างนี้ เข้าข่ายลวนลามร่างกาย ดีน่ะที่ไม่ถูกตบกลับมา
ในขณะที่ผมกำลังอายสุดขีดอย่างนี้ ผู้หญิงคนนี้ก็หัวเราะคิกคักออกมาเล็กน้อยก่อนพูดขึ้นว่า
“คุณเนี่ยตลกจังน่ะค่ะ” ไม่รู้ทำไมตอนที่เธอหัวเราะออกมา สีหน้าดูมีชีวิตชีวา ความสดใสของเธอทำให้ผมหน้าแดงออกมานิดๆ
“เปล่าตลกน่ะครับ เผอิญว่าผมค่อนข้างเกลียดกบ พอเห็นมันโผล่มาอย่างไม่ทันตั้งตัวก็เผลอตกใจก็เท่านั้น”
“ฉันชื่อราตรีน่ะคะ”จู่ๆผู้หญิงคนนี้ก็พูดชื่อของตนเองขึ้นมา ทำให้ผมแปลกใจขึ้น
“คุณน่ะเป็นคนแรกเลยที่เข้ามาทักฉัน ณ ที่แห่งนี้ ป้ายรถเมล์สายนี้”หญิงสาวที่ชื่อราตรียังพูดต่อ
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ค่อยชอบบรรยากาศเงียบๆสักเท่าไหร่ ผมชื่อวัฒน์น่ะครับ”ผมตอบออกไป พร้อมแนะนำตัวตาม ทำท่าทางให้ดูดีเข้าไว้
“อ๊ะ รถมาแล้วน่ะค่ะ”ราตรีพูดขึ้น ก่อนที่ผมจะหันไปมองตัวขัดบรรยากาศที่กำลังมาถึง ผมจำใจต้องเดินขึ้นรถไป แต่แปลกใจที่ไม่เห็นเธอคนนั้นขึ้นมาด้วย
“อ้าว เธอไม่ไปด้วยเหรอ”ผมหันไปถามราตรีที่ยังยืนกางร่มอยู่
“ค่ะ ฉันกำลังรออีกสายหนึ่ง”ราตรีตอบออกมา ทำให้ผมต้องล่ำลาเธอ รถเมล์ได้ออกตัววิ่งไปจากป้ายรถเมล์แห่งนี้ ภาพของเธอค่อยๆห่างไกลเรื่อยๆจนลับสายตา
วันต่อมา วันนี้โรงเรียนเลิกเร็วกว่าเดิมนิดหนึ่ง ผมรีบไปที่ป้ายรถเมล์ป้ายนั้นอีกครั้ง แต่แปลกใจที่ไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นอีก ผมซึ่งคิดแต่ว่าวันนี้เธอคงไม่มากำลังหันหลังกลับ ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก นั่นทำให้ผมต้องนั่งรอที่ป้ายรถเมล์เพราะด้วยความประมาทที่ดันลืมพกร่มติดตัว
ทันใดนั้น ผมก็เห็นเธอคนนั้นเดินกางร่มฝ่าสายฝนมายังที่แห่งนี้ เธอค่อนข้างแปลกใจที่เห็นผมอีกครั้ง ผมกับเธอนั่งรอรถที่ป้ายรถเมล์สองต่อสองอีกครั้ง ผมยังอดแปลกใจไม่ได้ที่ทำไมป้ายรถเมล์แห่งนี้ถึงไม่ค่อยมีคนนัก
“ว่าแต่ฝนตกอีกแล้วน่ะครับ คนก็ไม่ค่อยผ่านมาแถวนี้ด้วย”ผมเอ่ยขึ้นมา รีบหาประเด็นมาพูดคุยกับราตรีทันที
“คงเป็นเพราะที่นี่ ประวัติไม่ค่อยดีมั้งค่ะ”ราตรีที่เงียบมาตลอดก็พูดขึ้น ทำให้ผมสงสัยขึ้นมา
“ประวัติไม่ดีนี่หมายถึง?”
“ค่ะ แถวนี้เกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยๆ อย่างเมื่อสามเดือนก่อนก็มีคนโดนรถชนตายที่นี่น่ะค่ะ”ผมได้ยินอย่างนั้นถึงกับขนลุกเกลียว ที่แถวนี้มีคนตาย นี่ผมเดินผ่านทุกวันโดยไม่เอะใจอะไรเลยหรอเนี่ย
“ระวังให้ดีน่ะค่ะ ค่ำๆมืดคุณกลับบ้านคนเดียวระวังเจอ.......น่ะค่ะ”ราตรีทำท่าเหมือนผีหลอกใส่ผม แต่ผมรู้สึกไม่น่ากลัวหรอกดูน่ารักมากกว่า
“แล้วทำไมคุณมาใช้ป้ายนี่ล่ะ ขนาดรู้ว่ามีคนตาย”ผมเอ่ยถามขึ้น ราตรีก็ยิ้มออกมาก่อนตอบออกไปว่า
“ก็มันใกล้โรงเรียนนี่หน่า แล้วคุณล่ะ”
“ผมก็มีเหตุผลเหมือนกับคุณนั่น”
“อ่ะ ฝนจะหยุดตกแล้ว”ผมเงยหน้าขึ้นไปมองบนฟ้า เมื่อเห็นฝนเริ่มตกน้อยลงอันเป็นสัญญาณอันดีที่จะต้องกลับบ้าน ราตรีรีบลุกขึ้นยืนทำให้ผมแปลกใจไม่น้อย
“จะไปไหนหรอครับ”ผมเอ่ยถามขึ้น เพราะแปลกใจกับท่าทีของเธอ
“อืม ฉันต้องกลับบ้านแล้วล่ะ ขอบใจน่ะที่มาเป็นเพื่อนคุย”
“ให้ผมไปส่งไหม”ผมรีบอาสาทันที เพราะราตรีก็เป็นสาวน้อยคนหนึ่งท่าทางดูเปราะบาง และก็ใกล้ดึกแล้วด้วยอาจจะเกิดอันตรายกับเธอก็ได้
“ไม่เป็นไร”ราตรีรีบปฏิเสธ ในขณะที่เธอกำลังเดินจะกลับไปที่บ้าน ปรากฏว่าเธอเผลอสะดุดอะไรบางอย่างเข้า ทำท่าจะล้ม ผมรีบไปคว้าตัวเธอทันที
‘นี่มันท่าพระเอกประคองนางเอก ตอนกำลังล้มเลยนี่หว่า’ผมคิดในใจ เพราะตอนนี้สองมือของผมกำลังประคองร่างอันบอบบางของหญิงสาวผู้นี้อยู่ หน้าของเราทั้งสองคนขึ้นสีเล็กน้อยก่อนที่ผมจะยกตัวเธอขึ้นยืน
“ขอบคุณน่ะค่ะ”ราตรีพูดจบก็รีบคว้าร่มที่ตกก่อนวิ่งออกไปทันที ฝนก็หยุดตกปล่อยให้ผมนั่งรถเมล์ไปทำธุระให้เสร็จ
หลังจากนั้นผมก็มาพบราตรีแทบทุกวันที่ป้ายรถเมล์แห่งนี้ ทุกครั้งที่เจอเธอฝนมักจะตกอยู่ตลอด แต่ผมไม่สนใจอะไรมากนัก นั่งคุยเรื่องครอบครัว เรื่องการเรียนได้อย่างสนุกสนานที่ป้ายรถเมล์แห่งนี้
วันต่อมา ที่โรงอาหารของโรงเรียน ในขณะที่ผมกำลังทานบะหมี่อยู่ จู่ๆไอ้โต้งกับไอ้กฏที่นั่งทานข้าวอยู่ข้างๆก็หันมาถามผมทันที
“นี่ไอ้วัฒน์ เมื่อวานข้าเห็นเอ็งไปนั่งที่ป้ายรถเมล์ที่ซอยเปลี่ยวใกล้โรงเรียนเรานิ ไปทำอะไรว่ะ”ไอ้โต้งถามขึ้น ผมก็เกิดอึดอัดใจ เพราะว่าผมมักจะไปที่ป้ายรถเมล์เพื่อพบราตรีอยู่บ่อยๆ ถ้าเพื่อนรู้ว่าผมไปคุยกับเพื่อนที่เป็นผู้หญิงโดนล้อตายเลย
“ก็ไปนั่งรอรถเมล์นั่นแหละ จะให้ไปทำอะไร”
“เดี๋ยวนี้เอ็งก็กล้านิหว่า ที่นั่นเคยมีคนตายน่ะเว้ยเฮ้ย ว่ากันว่ามีคนเคยเห็นวิญญาณของคนตายวนเวียนอยู่ที่แถวนั้นด้วยน่ะ”ไอ้กฎทำท่าน่ากลัว เล่นเอาผมใจเสียไปเลย เห็นอย่างนี้แต่ผมก็กลัวผีเหมือนกันน่ะ
“ล้อเล่นหรือเปล่า ฉันไปไม่เห็นเจอเลยน่ะ”ผมพยายามทำอวดเก่งเข้าไว้
“จริงสิ ที่นั่นมีคนตายบ่อยๆอย่างรายที่แล้วเป็นคุณหนูโรงเรียนเอกชนใกล้ๆแถวนี้นี่แหละ โดนสิบล้อทับตายเห็นมีคนบอกว่าผู้หญิงคนนี้ข้ามถนนไปเก็บร่มที่ปลิว แล้วสิบล้อมาพอดี”
“พอที ฉันไม่อยากฟัง”ผมรีบลุกขึ้น คำพูดของพวกนั่นทำผมใจเสียหมด คุณหนูโรงเรียนเอกชน? อย่าบอกน่ะว่าโรงเรียนเดียวกับราตรี มันทำผมเริ่มกลัว ทำไมราตรีถึงต้องมาที่นั่นบ่อยๆ เดี๋ยวตอนเย็นผมต้องถามเรื่องนี้กับเธอ
ในที่สุดก็ถึงตอนเย็นโรงเรียนค่อนข้างเลิกช้าและฝนก็ตกอีก ผมเดินมาถึงป้ายรถเมล์แห่งนี้และเจอราตรีอีกครั้ง
“อ้าววัฒน์ เจอกันอีกแล้วน่ะ”ราตรีร้องทักทาย รอยยิ้มของเธอทำให้ผมมีความสุขหายกลัวขึ้นมาทันที
“สวัสดี ราตรี วันนี้ก็มาที่นี่อีกแล้วน่ะ”ผมนั่งลงข้างๆเธอ พวกเราสนิทกันมากขึ้นจนถึงขั้นชื่อกันและกันโดยไม่ต้องเติมคุณได้อย่างสนิทปาก
“ฉันเผอิญได้ยินมาว่า คนที่ตายเป็นนักเรียนโรงเรียนเดียวกับเธอนิ เขาเป็นเพื่อนของเธอหรอ”ผมเอ่ยถามขึ้น ราตรีมีท่าทีตกใจเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับคำโดยง่าย
การที่ราตรียอมรับเรื่องนี้ ทำให้ความรู้สึกบางอย่างที่น่าอึดอัดของผมจางหายไป ผมหันไปมองราตรีพร้อมๆกับที่เธอหันมามองผม สายตาของเราสอดประสานกัน ก่อนที่ราตรีจะค่อยยื่นหน้าเข้ามาใกล้หน้าผมเรื่อยๆ มันเหมือนกับว่าจะจูบ
“อะนี่ เอาออกให้แล้วน่ะ”ราตรีหยิบเส้นผมเส้นหนึ่งที่หลุดร่วงออกจากหน้าของผมให้ เล่นเอาผมเสียดายเล็กน้อยนึกว่าเธอจะจูบกับเขา
‘จูบ? หรือว่าเราชอบราตรีเข้าแล้วจริงๆ’ผมเริ่มหน้าแดงเล็กน้อยเวลาที่มองหน้าเธอ ก่อนรีบเบือนหน้าไปทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อนหน้าที่แดงขึ้นทันที
“นายเป็นอะไรหรือเปล่า วันนี้ก็พูดจาแปลกๆแถมไม่มองหน้าฉันอีก”ราตรีเอ่ยถามขึ้นก่อนยื่นมือเย็นๆของเธอมาจับที่แก้มผมทั้งสองข้างให้หันมามองหน้าเธอ ยิ่งทำให้ผมหน้าแดงเข้าไปใหญ่
“หรือว่านายไม่สบาย”ผมชักเขินเรื่อยๆ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ดีแน่ ผมเลยรีบลุกขึ้น
“ไม่เป็นไร ขอกลับบ้านก่อนน่ะ นึกขึ้นได้ว่ามีงานวิชาเลข”ผมโกหกออกไป ก่อนทำท่าจะวิ่งออกไป แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นราตรีก็ตะโกนขึ้นมาเสียก่อน
“ไม่เป็นไรแน่น่ะ พรุ่งนี้นายจะมาที่นี่อีกไหม”
“อืม ฉันมาแน่”ผมตอบกลับไป ก่อนวิ่งกลับบ้านทันที หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็มานอนเล่นบนเตียง นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาตั้งแต่ที่ได้พบราตรีครั้งแรก ผมยังไม่รู้เธอมากพอเลยด้วยซ้ำ เลยไม่กล้าที่จะพูดออกมาว่ารัก
วันต่อมา ผมก็ต้องรับมือกับเพื่อนตัวป่วนของผมอีก คราวนี้พวกมันเล่าเรื่องที่ป้ายรถเมล์นั่นอีกครั้งหนึ่ง
“นี่ เมื่อวานฉันเห็นแกนั่งอยู่คนเดียวที่ป้ายรถเมล์นั่นน่ะ แถมทำท่าเหมือนจะคุยกับใครบางคนด้วยน่ะ แกเป็นบ้าหรือเปล่า”ไอ้กฎเอ่ยถามขึ้นมา
“เฮ้ย พวกแกบ้าหรือเปล่า ฉันนั่งกับเพื่อนของฉัน พวกแกไม่เห็นได้ไง”ผมแย้งออกไปสุดฤทธิ์
“ไหนเพื่อนของแก แกเพ้อเองหรือเปล่า”ไอ้โต้งยังพูดอีก พวกมันเห็นผมกลัวผี ยังจะคิดแกล้งกันอยู่อีก ผมเลยรีบลุกออกจากโต๊ะโดยไม่พูดกับพวกนั้นอีกเลย พอตกเย็นผมก็ไปที่ป้ายรถเมล์นั่นอีกครั้ง นั่งคุยกับราตรีเพื่อนของผม
“พวกนั้น บอกไม่เห็นเธอ ใจร้ายชะมัด คิดแกล้งเพื่อนโดยบอกว่าคนอื่นตายแล้วบางนี้”ผมเล่าเรื่องของวันนี้ให้ราตรีฟัง เธอดูกระอักกระอวนที่ผมพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกผิดที่เป็นเหตุที่ทำให้ผมกับเพื่อนทะเลาะกัน
“บางทีพวกเขาอาจจะเตือนคุณด้วยความหวังดีก็ได้”ราตรีพูดออกมาอย่างแผ่วเบา เพียงพอให้ผมได้ยิน
“แต่ยังไงก็เกินไปที่มาบอกเหมือนกับว่าเธอเป็นผีอย่างไรอย่างนั้น”ผมพูดขึ้นด้วยอารมณ์บูดเล็กน้อย ยังพออภัยเพราะเห็นว่ามันทำไปเพราะเป็นห่วงก็ตาม
“แต่ว่า”ราตรียังพูดไม่ทันจบ ผมก็จับไหล่ของเธอไว้พร้อมพูดขึ้นว่า
“เธอเป็น.....เป็นเพื่อนของฉันน่ะ ฉันคุยกับเธอได้ จับต้องตัวเธอได้ เธอไม่ใช่ผีสักหน่อย ฉันเชื่ออย่างนั้น”ผมพูดจบก็ลุกขึ้นยืน พร้อมมองท้องฟ้าที่ฝนยังคงตกอยู่เช่นเคย
“วัฒน์”ราตรีทำท่าเหมือนซาบซึ้งในคำพูดของผม ซึ่งผมคิดไปเอง ก่อนจะอำลาเธอเพื่อเตรียมตัวขึ้นรถเมล์ไปทำธุระ ผมได้เอามือล้วงไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อคว้านหาเศษเหรียญ ก่อนดึงออกมา แต่มีเหรียญบาทเหรียญหนึ่งหล่นออกมาจากกระเป๋ากางเกง ผมก้มตัวไปหยิบมันขึ้นมา
ราตรียังนั่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์แห่งนั้นก่อนที่เธอจะหันมามองผมแล้วตกใจขึ้นมา
“วัฒน์? นายยังไม่ไปอีกเหรอ”เธอออกอาการแปลกใจมากนักที่เห็นหน้าผม อาจจะใช่เพราะตอนนี้สีหน้าของผมกำลังตื่นตะลึง ตกใจ และหวาดกลัวกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า
“ไม่จริงใช่ไหม ทำไมเธอถึงเป็นอย่างนั้นไปได้”ผมพูดพึมพำเหมือนกับคนบ้า ก่อนมองหน้าราตรีอีกครั้ง ตอนที่ผมก้มเก็บเหรียญ บังเอิญเผลอมองลอดหว่างขาพอดี และสิ่งที่ผมเห็นคือร่างของราตรีที่เต็มไปด้วยเลือด สีผิวที่ขาวซีดราวกับศพ ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล เสื้อผ้าขาดวิ่น เธอตายไปแล้ว
“อะไรของนาย วัฒน์?”ราตรีเรียกขึ้นทำท่าจะเดินไปหาผม
“อย่าเข้ามาใกล้ฉัน ยัยคนโกหก คนหลอกหลวง เธอตายไปแล้วทำไมไม่บอกฉัน”ผมตะโกนออกมา ราตรีที่ผมเห็นมาตลอดเป็นภาพมายา นี่สิน่ะผีหลอกของแท้
“วัฒน์ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”ราตรีทำท่าเหมือนจะร้องไห้ เธอพยายามจะเดินมาหาผม แต่ผมกลับชิงวิ่งหนีไปเสียก่อน ทิ้งราตรีไว้ที่ป้ายรถเมล์เพียงคนเดียว ราตรียืนนิ่งตากสายฝน เธอไม่ได้กางร่มเอาไว้ปล่อยให้ร่างของเธอเปียกปอนแทนน้ำตาที่เหือดแห้งไป
ผมรีบวิ่งกลับมายังบ้านและเข้าห้องนอนของตนเองทันที โดยไม่ฟังเสียงบ่นของแม่ที่ไล่ให้ไปอาบน้ำก่อน ผมนอนคลุมโปงทั้งน้ำตา รักแรกของผมเป็นคนที่ตายแล้ว แถมโดนหลอกแบบนี้อีก แทบเจ็บช้ำปางตาย
ผมอาบน้ำเสร็จก็เข้านอนทันที โดยไม่มานั่งเล่นเน็ตเหมือนปรกติ ผมนอนคลุมโปงเอาไว้ปล่อยสติเลือนหายไป
ผ่านไปสักพัก ดูเหมือนอากาศจะเย็นขึ้นเพราะฝนตก แสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างสาดเข้ามาเผยให้เห็นเงาของเตียงนอนผม และเงาของผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ ผมในตอนนี้อยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นมองเห็นแค่เงาก็รู้ว่าใคร
“วัฒน์ ฉันขอโทษฉันไม่ได้ตั้งใจจะหลอกนาย”เสียงของราตรีดังขึ้นเป็นเสียงที่ดูโศกเศร้าและสำนึกผิด
“ออกไป ฉันเกลียดผีอย่างเธอ”ผมตะโกนลั่น จากนั้นเงาก็หายไปมีเพียงเสียงร้องไห้ที่ยังคงดังอยู่อีกสักพักก็หายไปตามสายฝน ฝนหยุดตกแล้วผมเหลือบมองนาฬิกาพบว่าตอนนี้ตีสามครึ่งแล้ว เหลือเวลานอนอีกเยอะจึงเข้านอนต่อทันที
ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันศุกร์ก่อนจัดแจงธุระต่างๆให้เสร็จก่อนออกไปโรงเรียน ผมเดินเท้ามาโรงเรียนก่อนจะพบซอยที่มีป้ายรถเมล์นั่นอยู่ โดยปรกติแล้วผมจะใช้ทางนี้เป็นทางผ่าน แต่ว่าผมจงใจเดินเลี่ยงไปทางอื่นที่ไกลกว่าเดิม
ทันใดนั้นพระอาทิตย์ก็หลบเข้าเมฆ เมฆฝนขนาดใหญ่เกิดขึ้นบริเวณนี้ก่อนที่ผมจะรู้สึกว่าได้ยินเสียงที่ลอยตามสายลมมาด้วย
“วัฒน์?”
“ออกไปน่ะ ราตรี ฉันเกลียดเธอไม่อยากเจอหน้าเธอ”ผมพูดออกมา ในมือกำหลวงพ่อวัดไร่ขิงที่แขวนคอไว้
“วัฒน์”ราตรีเสียงอ่อนลง ก่อนที่พระอาทิตย์จะโผล่มาพ้นเมฆอีกครั้ง เมฆฝนลอยหายไปพร้อมราตรี?
หลังจากนั้นผมก็ไม่ไปยุ่งที่ป้ายรถเมล์นั้นอีกเลย
“วัฒน์ เดี๋ยวนี้ลูกดูแปลกๆไปน่ะเป็นอะไรหรือเปล่า”แม่เอ่ยถามขึ้นในเช้าวันหนึ่ง อาจเป็นเพราะเธอสังเกตเห็นว่าผมเริ่มชอบเหม่อลอยขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่เป็นไรครับ”ผมตอบออกไป
“หรือว่าช่วงนี้ลูกทะเลาะกับเพื่อนมา”แม่อาจจะทายถูก แต่ก็ไม่ถูกทั้งหมดเพราะผมยังรู้สึกผิดที่ไปไล่ราตรีอย่างนั้น
“ก็ไม่เชิงครับ”
“นี่ ลูกมีปัญหาอะไรบอกแม่มาได้น่ะ แม่พร้อมช่วยเหลือเสมอ”แม่พูดออกมาอย่างนั้น แต่ผมรู้สึกว่าแม่แก้ปัญหาไม่ได้หรอก เพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่ตายแล้ว
“เอ่อ คือว่าผมจับได้ว่าเธอโกหกผมเรื่องหนึ่ง และเป็นเรื่องที่ผมรับไม่ได้ด้วย ผมเลยโกรธออกปากไล่เธอไปน่ะครับ”
“อย่างนี้นี่เอง แล้วเรื่องที่เขาโกหกกับลูกเป็นผลดีหรือผลร้ายล่ะจ๊ะ”แม่ยังถามอีก
“ก็ไม่นิครับ เธออาจจะแค่ไม่ได้ตั้งใจหลอกผมก็ได้”
“ลูกการคบเพื่อน มันไม่ได้ง่ายๆเหมือนเกมส์โหมดอีซี่หรอกน่ะ เราควรจะดูเจตนาของเขาด้วยว่าคบเราเพื่ออะไร ถ้าเขาหวังดีกับเรา บางทีเขาก็จำใจโกหกเราเพื่อไม่ให้เราเสียใจก็ได้น่ะ เรากับเพื่อนก็ยังเด็กอาจจะเผลอโกหกไปเพราะคิดว่ามันเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการรักษามิตรภาพไว้ก็ได้ เพราะงั้นลูกควรให้อภัยเขาน่ะ”แม่ของผมพูดออกมาอย่างนั้น ก็ทำให้ผมรู้สึกได้
ตอนเย็นฝนกำลังตกอย่างหนัก ผีราตรีก็ยังนั่งอยู่ที่เดิมพร้อมกางร่มใต้ป้ายรถเมล์ ก่อนที่เธอจะหันมาเห็นผมที่กำลังเดินมาทางนี้ เมื่อราตรีเห็นผม เธอก็รีบเดินหนีทันที ผมรีบคว้าแขนเธอไว้แม้จะตกใจนิดๆจากความเย็นจากแขนของเธอ
“เดี๋ยวราตรีเธอจะไปไหนน่ะ”ผมเอ่ยถามขึ้น
“นายไล่ฉันไปไกลๆไม่ใช่เหรอ ฉันก็ทำตามให้แล้วไง”ราตรีตอบออกมา และนั่นทำให้ผมรู้อย่างหนึ่งผีก็งอนเป็น ผมรีบดึงตัวเธอมากอดไว้แม้ว่าร่างของเธอตอนนี้จะเต็มไปด้วยเลือดและไร้ความอบอุ่น
“ฉันขอโทษ ฉันไม่น่าว่าเธออย่างนั้นเลย”ผมขอโทษราตรีทันที ก่อนที่ร่างของราตรีจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมเหมือนตอนที่ผมเห็นเธอครั้งแรก ไม่ใช่ร่างที่เต็มไปด้วยเลือด
หลังจากปรับความเข้าใจเสร็จ ผมกับราตรีก็นั่งคุยกันอีกครั้ง แม้ว่าผมจะรู้สึกแปลกๆที่ต้องมานั่งคุยกับผีเป็นครั้งแรก
“แล้วเธออยากไปเกิดใหม่ไหม”ผมเอ่ยถามขึ้นด้วยท่าทีกล้าๆกลัวๆเพราะไม่รู้ว่าผีนั้นชอบคุยเรื่องอะไรบ้าง อาจจะเป็นตายแล้วไปไหน หรือผลบุญในชาตินี้ก็ได้
“อยากสิ แต่ฉันไปไหนไม่ได้นอกจากที่นี่และจะโผล่มาเฉพาะตอนฝนตกเท่านั้นยกเว้นตอนไปบ้านเธอน่ะ ดวงจิตของฉันผูกพันกับเธอนิดหน่อยเลยตามมาได้”ราตรีตอบ
“เธอมีเรื่องค้างคาใจอะไรหรือเปล่า”ผมถามขึ้นอีกครั้ง เพราะว่ากันว่าดวงวิญญาณที่ไม่ได้ไปเกิดเพราะมีบางอย่างที่ค้างคาใจอยู่
“ก็ไม่รู้สิน่ะ ฉันจำตอนตัวเองตายไม่ได้เลย”ราตรีตอบออกมา ปล่อยผมนั่งวิเคราะห์ จากที่ผมสังเกตเธอมักจะปรากฏที่ป้ายรถเมล์เวลาฝนตก ก่อนผมจะนึกถึงไอ้สองเกลอที่ชื่นชอบเลยลึกลับเป็นชีวิตจิตใจ
“นี่ ไอ้โต้งแกช่วยเล่าเรื่องคนที่ตายที่ป้ายรถเมล์เมื่อสี่เดือนก่อนได้ไหม”ผมโทรไปถามไอ้โต้งทันที โชคดีที่มันเล่นเกมส์อยู่ที่บ้านเลยรับสายผมได้
“ทำไมจู่ๆแกสนใจเรื่องนี้ได้ว่ะ เดี๋ยวฉันหาให้”ไอ้โต้งพูดขึ้นก่อนเปิดท่องเว็บหาข่าวทางเน็ตมาอ่านให้ผมฟังทันที
“เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 25XX เวลา 17.56 น. มีการแจ้งเหตุอุบัติเหตุที่ถนนหน้าป้ายรถเมล์สาย 62 พบศพนักเรียนโรงเรียนเอกชน......................... ชื่อว่ารัตติกาล สายน้ำจันทร์ อายุ 17 ปีถูกรถชนเสียชีวิต ใกล้ๆกับที่เกิดเหตุคือรถบรรทุกทะเบียน ฏฏ 0000 จอดอยู่ เป็นรถที่พุ่งชนผู้เสียชีวิต คนขับได้หลบหนีไป พยานในที่เกิดเหตุว่าตอนนั้นเกิดฝนตกอย่างหนัก แล้วร่มของนางสาวรัตติกาลผู้ตายเกิดหลุดมือไปอยู่ที่กลางถนน นางสาวรัตติกาลจึงรีบเดินไปเก็บมันมา แต่ว่าจู่ๆรถบรรทุกที่ขับมาด้วยความเร็วสูงพุ่งเข้าชน ร่างของผู้ตายกระเด็นมาถนนอีกเลนส์หนึ่ง สภาพใกล้สิ้นลม แทนที่คนขับจะลงมารับผิดชอบกลับวิ่งหนีไป ทางพยานเรียกรถพยาบาลมาแล้ว แต่ไม่ทันนางสาวรัตติกาลได้เสียชีวิตลงในที่เกิดเหตุ”
“อืม ขอบใจมาก”ผมกล่าวขอบคุณเสร็จก็วางสายทันทีก่อนหันมามองหน้าราตรี ตอนนี้ผมสงสารที่เธอต้องมาตายโดยไม่มีใครรับผิดชอบ
“ตกลงแล้ว เธออยากทำอะไรก่อนตาย”
“ไม่รู้ อาจจะเป็นแค่อยากได้ร่มคันนั้นก็ได้มั้ง”ราตรีพูดขึ้น ทำให้ผมแปลกใจขึ้นมานิดๆเพราะร่มที่เธอว่ามันอยู่กับตัวเธอตลอด
“ไม่ใช่ร่มนี้น่ะ เป็นร่มของฉันจริงๆ มันอาจจะกระเด็นไปที่ไหนสักแห่ง” โชคดีที่แถวนี้ไม่ค่อยมีรถผ่าน ผมเดินตระเวนหาตามรายทางใกล้ๆป้ายรถเมล์แห่งนี้ก็ไม่เจอร่มสักคันเลย นั่นทำให้ผมต้องย้อนกลับไปที่บ้านเพื่อเปิดเน็ตหาข้อมูล โชคร้ายที่ข่าวนี้ค่อนข้างเป็นข่าวเล็กไม่ค่อยเป็นประเด็นสักเท่าไหร่
ในขณะที่ผมนั่งค้นหาอยู่กลิ่นหอมก็ลอยเข้ามาใกล้จมูกพร้อมมือขาวซีดที่ชี้ไปที่ข้อความหนึ่งบนหน้าเว็บเพจ
“นี่หรือเปล่า ข่าวภาคเที่ยงประจำวันที่ 13 มิถุนายน”
“ขอบใจมากราตรี เฮ้ย”ผมตกใจสะดุ้งทันทีที่รู้ว่าราตรีตามผมมาด้วย “เธอมาได้ไง”
“ก็ไม่รู้สิ อาจเป็นเพราะนายเป็นคนเดียวที่เห็นฉันได้ จิตของเรามันผูกพันกัน”ราตรีตอบออกมาด้วยรอยยิ้ม ที่เธอบอกว่าตามผมมาก็หมายความตอนผมอาบน้ำก็......
ดูเหมือนราตรีจะเดาใจผมได้เธอพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องห่วงน่ะวัฒน์ ของนายมันเล็กจิ๊ดเดียว”
“ผมไม่เล็กน่ะครับ”
หลังจากนั้นผมก็เปิดดูข่าวที่ที่รายการข่าวเอามาแสดงไว้ มีรายการหนึ่งพูดถึงข่าวของราตรีด้วย ผมตั้งใจดูอย่างดี ก่อนจะเห็นสิ่งที่น่าสนใจเข้า ภาพของป้าแก่ๆคนหนึ่งที่น่าจะเป็นแม่ของราตรีร้องไห้ไปในมือถือร่มสีดำที่เลอะเลือดเอาไว้
“ในที่สุดก็หาเจอสักที” ราตรีดูเหมือนจะโล่งอกขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้หายไปเพราะเธอต้องได้ถือร่มคันจริงๆ ซึ่งน่าจะเป็นปัญหาอย่างมากเพราะตอนนี้ร่มอยู่ในมือของแม่เธอแล้ว
ตอนเย็นวันต่อมา ผมเดินไปที่บ้านของราตรี เป็นบ้านสองชั้นบรรยากาศร่มรื่น พอผมกดกริ่ง ก็มีหญิงรุ่นป้าคนหนึ่งเดินมาเปิดประตูให้ ซึ่งผมจำได้ว่าเธอเป็นแม่ของราตรี แต่ว่าตอนนี้ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายผอมแห้งดูอ่อนแรง
“หนูเป็นใครจ๊ะ”แม่ของราตรีพูดขึ้น ผมก็พูดตามบทที่อุตส่าห์สร้างขึ้นทันที
“ผมเป็นเพื่อนของราตรีครับ เพื่อนสมัยที่อยู่ภูเก็ตน่ะครับ เผอิญว่าผมมีธุระแถวนี้พอดีเลยมาเยี่ยมน่ะครับ”ราตรีเคยบอกว่าเคยอยู่ที่ภูเก็ตมาก่อน ซึ่งเธอมั่นใจว่าแม่คงจำไม่ได้ว่าเธอมีเพื่อนกี่คน ใครบ้าง
“ตอนนี้ราตรีไม่อยู่หรอกจ๊ะ”แม่ของราตรีมีสีหน้าตื่นตะลึงเล็กน้อยที่ผมพูดชื่อราตรีออกมา แหงล่ะเป็นชื่อของลูกสาวคนเดียวของเขานิ
“แล้วเขาไปไหนแล้วล่ะครับ”ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง แม่ของราตรีมีสีหน้าเศร้าเล็กน้อยซึ่งผมก็ไม่อยากไปรื้อฟื้นความทรงจำของเธอมากนัก แต่ว่าเพื่อให้ราตรีได้ไปเกิดอย่างสบายใจ ผมจำใจต้องโกหก
“เธอตายแล้วจ๊ะ ขอโทษที่ทำให้เธอมาเก้อ”ถ้ามีรางวัลตุ๊กตาทองคงต้องให้ผมแน่ๆ เพราะผมแสดงสีหน้าตื่นตะลึงได้แนบเนียนอย่างมาก
“ราตรีตายแล้วหรอครับ”ผมแสดงสีหน้าเศร้าตามแม่ของเธอ ก่อนที่แม่ของราตรีจะพาผมเข้ามาในบ้าน ผมนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่นก่อนมองไปรอบๆบ้านก็รู้มาว่าแม่ของราตรีอยู่คนเดียว แม่ของราตรีเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับร่มในมือ
“นี่ เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ราตรีเหลือให้ฉัน ฉันขอโทษน่ะที่ไม่ได้ชวนเธอมาร่วมงานศพ แต่ขอให้เธอแสดงความเสียใจกับร่มนี้แล้วกัน เดี๋ยวน้าไปเอาน้ำมาให้”
ผมรับร่มนั้นมา แม้ว่าเลือดจะแห้งกรังไปนานแล้วแต่ก็ไม่หายไป ราตรีเห็นสภาพของแม่เธอก็อดร้องไห้ไม่ได้ แต่แม่ของเธอไม่มีวันได้เห็นตัวเธอ แม่ของราตรีพอยื่นร่มให้เสร็จเธอก็หันหลังกลับไปที่ประตู ระหว่างนั้นที่หางตาของเธอก็เหลือบไปเห็นราตรีที่นั่งอยู่ข้างๆผมพอดี เธอรีบหามาเรียกชื่อราตรีอย่างรวดเร็ว แต่ว่าเธอก็ไม่เห็นราตรีอีกแล้ว
หลังจากที่แม่ราตรีเดินออกไปจากห้อง ผมก็ยื่นร่มให้ราตรี เธอลูบร่มอย่างเศร้าสร้อยก่อนพูดขึ้นว่า
“วัฒน์ ขอฉันอยู่ที่นี่สักพักน่ะ”ผมก็ทำตามโดยดี บอกลาแม่ของราตรีก่อนเดินออกไป
ตอนกลางคืน แม่ของราตรีเกิดฝันขึ้นมา เธอฝันเห็นว่าราตรีมายืนยิ้มอยู่ตรงหน้าเธอ
“แม่ แม่ซูบผอมไปมากเลยน่ะ”
“ราตรี นี่ลูกจริงๆหรือนี่”แม่ของราตรีวิ่งเข้าไปกอดลูกสาวด้วยความดีใจ
“แม่จ๋า แม่ไม่ต้องห่วงหนูอีกต่อไปแล้วน่ะ แม่ก็อย่าทำร้ายตัวเองอีกเลย ลืมเรื่องของหนูได้แล้วน่ะ”
“แล้วราตรีจะไปไหนล่ะ ลูก”แม่ของราตรีเอ่ยถามขึ้นทั้งน้ำตา
“หนูจะไปเกิดใหม่แล้วน่ะค่ะ แม่ ไว้ชาติหน้าถ้ามีบุญหนูขอเกิดมาเป็นลูกแม่อีกครั้งน่ะ”แล้วร่างของราตรีก็เลือนหายไป
“ราตรี!”แม่ของราตรีสะดุ้งตื่นขึ้น ก่อนมองร่มของราตรีวางไว้ที่บนชั้นพร้อมกับอัฐิของราตรี ที่บัดนี้มันได้หายไปแล้ว “ลูกแม่ไปเกิดแล้วสิน่ะ”
ผมรอราตรีอยู่ที่ป้ายรถเมล์ที่เดิมก่อนเห็นราตรีเดินมาหาผม
“ขอบใจมากน่ะ วัฒน์ ฉันรอคนที่จะมาช่วยฉันตั้งนานมีเธอคนแรกที่ยอมช่วยฉัน”ราตรีเดินมาตรงหน้าผมทั้งน้ำตาและรอยยิ้ม ร่างของเธอเรืองแสงอ่อนๆออกมา ก่อนที่เธอจะพุ่งเข้าหาผม
ผมไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือว่าไง ริมฝีปากของราตรีไม่ได้เย็นชีดอย่างที่คิดไว้ แต่กลับอุ่นและนุ่มนิ่มเหมือนตอนที่เธอมีชีวิต ผมเสียจูบแรกให้กับผี
“ขอบใจมากน่ะวัฒน์ น่าเสียดายถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่ เราสองคนอาจเป็นแฟนกันก็ได้”ราตรีถอนจูบออกก็พูดขึ้นก่อนโบกมืออำลาให้แก่ผม ก่อนที่ร่างจะจางหายไป ฝนที่ตกอยู่ตลอดก็หยุดตกลงไปแล้วด้วย ผมเชื่อว่าเธอต้องไปเกิดในชาติภพที่ดีได้แน่

.........................................................................................................................................

หนึ่งปีต่อมา เดือนมิถุนายน เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ฝนตกอย่างรุนแรง ผมมาที่ป้ายรถเมล์
mfk สนุกเกินคาดครับ ถือว่าแต่ได้ดีมากเลยทีเดียว ทั้งๆที่เป็นเรื่องสั้น แต่มีจุดที่ชวนกระชากอารมณ์ และให้ติดตาม
ถือเป็นตัวอย่างที่ดีมาก สำหรับนิยาม ความวนุกน่าติดตามไม่จำเป็นต้องมี อภินิหารปล่อยแสงเสมอไป
แค่เรื่องธรรมดาๆ แต่ถ้าเรียบเรียงออกมาให้ดี ก็สามารถ สนุกได้
สนุกมากครับ
น่ากลัวฟระ
คำผิดประปราย สรรพนามผิดเล็กน้อย โดยรวมสนุกดีครับ

พูดตามตรงตอนที่เห็นครั้งแรกไม่รู้สึกว่าน่าอ่านเลย ไม่ใช่เพราะยาวไปไม่อ่านนะผมอ่านหนังสือเล่มนึงจบได้ราวๆชั่วโมงกว่าแต่เพราะการจัดหน้าเว้นบรรทัดไม่มีเลยมีแต่ตัวหนังสือยาวพรืดลงมาทำให้ความน่าอ่านลดลงไปมาก
(06-26-2014, 06:27 PM)Natsukikung Wrote: [ -> ]คำผิดประปราย สรรพนามผิดเล็กน้อย โดยรวมสนุกดีครับ

พูดตามตรงตอนที่เห็นครั้งแรกไม่รู้สึกว่าน่าอ่านเลย ไม่ใช่เพราะยาวไปไม่อ่านนะผมอ่านหนังสือเล่มนึงจบได้ราวๆชั่วโมงกว่าแต่เพราะการจัดหน้าเว้นบรรทัดไม่มีเลยมีแต่ตัวหนังสือยาวพรืดลงมาทำให้ความน่าอ่านลดลงไปมาก

ขอบคุณที่ติชมครับ พอดีพิมพ์ในwordแล้วก็อปมาลง เลยทำให้ข้อความกลายเป็นว่าไม่ได้จัดหน้าขึ้นมา (ในword จัดหน้าแล้วน่ะครับ)
อ่า .. นั่งเพ่งจนปวดตา //แก่แล้วสินะ
ช่องบรรทัด อ่านยากไปหน่อยอย่างที่ท่านนัทซึบอกครับ ส่วนตัวเนื้อหา ก็ กำลังดี เลยครับ มีจุดเริ่ม และจุดสรุปที่ชัดเจนดี
เรื่องเดาทางง่ายไปสักหน่อย แต่ก็ใช้ได้แล้วล่ะครับ
บรรยายดีครับ แต่ด้านเนื้อเรื่องธรรมดาไปหน่อย
และมีปัญหาด้านตัวอักษรยาวเป็นพรืดอีก ทำให้ลำบากหน่อย
ถึงยังไงก็ฝึึกต่อไปนะครับ รออ่านอยู่
(06-27-2014, 06:28 PM)slost Wrote: [ -> ]บรรยายดีครับ แต่ด้านเนื้อเรื่องธรรมดาไปหน่อย
และมีปัญหาด้านตัวอักษรยาวเป็นพรืดอีก ทำให้ลำบากหน่อย
ถึงยังไงก็ฝึึกต่อไปนะครับ รออ่านอยู่

เนื้อหาเรื่องสั้นสไตล์ชีวิตประจำวันครับ มันเลยดูธรรมดาไปหน่อย
แต่เนื้อหาที่เอามาทำเกมส์ได้เนื่องผมมีเพียบเลย