The Judgment case of Magic and Physhic -คดีพิศวงพิพากษา- - Nivas - 05-13-2013
Index
Secter I
Case Prologue: The world of “Magic” and “Psychic”.
Case 1: Girl of flame “Frasia” and case of “Gadiorus”.
Case 2: Strongest warlord Gadiorus.
Case 3: True strength of a coward guy.
Case 4: Everything that I want to protect.
Secter I
Case Prologue: The world of “Magic” and “Psychic”.
วันที่ 30 เมษายน ปี AO ที่ 1200 เกาะแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของวินด์เชียร์
ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดงสีส้มอมเหลืองอ่อนๆที่สาดแสงทอประกายส่องสว่างไปทั่วบริเวณ เกาะแห่งนี้ซึ่งถูกเรียกว่า[เซาท์วินด์เซียร์] อันเนื่องมาจากมีพื้นเพอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ [วินด์เซียร์] ประเทศที่ประกอบไปด้วยสิ่งของล้ำสมัยและเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยี ถึงอาจจะสู้ประเทศที่เป็นศูนย์กลางของโลกใบนี้อย่าง [เซนเทอเรี่ยน] ไม่ได้ก็ตามแต่นั่นก็ไม่ได้แย่อะไรมากนัก
เซาท์วินด์เซียร์เป็นเกาะขนาดไม่เล็กและไม่ใหญ่ แม้จะเป็นเกาะที่แยกตัวออกมาเนื่องจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อ5ปีก่อน
แต่ก็ไม่ห่างไกลกับส่วนหลักของประเทศมากนักและทางด้านข่าวสารและเทคโนโลยีก็ยังคงมีการอัพเดทอย่างเท่าทันสถานที่
อื่นๆอยู่เหมือนเดิม
เด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนเหม่อมองท้องฟ้ายามเย็นอย่างนิ่งเงียบพร้อมครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จะเรียกว่างานอดิเรก ก็ไม่ผิดนัก ตัวเขานั้นชอบมองดูท้องฟ้าพร้อมกับคิดเรื่องต่างๆไปเรื่อยเปื่อย นั่นแหล่ะตัวเขา หรือบางทีมันอาจจะเป็นเพราะชื่อของเขากระมัง
เด็กหนุ่มคนนี้มีรูปพรรณสัณฐานที่ไม่โดดเด่นแต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่นัก หน้าตาจัดอยู่ในระดับปานกลาง ผิวคล้ำเล็กน้อย ผมตั้งชี้ฟูมีสีฟ้าสดใสราวกับเรืองแสง นัยน์ตาสีฟ้าอมเขียวดูมีเสน่ห์ หลังจากที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าเวลาในตอนนี้นั้นเริ่มเข้าสู่ยามสนธยา แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องลงมาต้องลงบนใบหน้าของเด็กหนุ่มจนเขาต้องยกมือขวาขึ้นมาป้องแสงจากดวงตะวัน เขาตัดสินใจก้าวเท้าออกจากพื้นที่ตรงนั้นเพื่อมุ่งหน้าไปสู่สถานที่แลกเปลี่ยนเงินตรากับสิ่งของประทังชีวิตอันเรียกว่า ร้านสะดวกซื้อ
เนื่องด้วยเด็กหนุ่มนั้นอาศัยอยู่ที่หอพักนักเรียนตัวคนเดียวเขาจึงมีความสามารถและทักษะของพ่อศรีเรือนที่ดีในระดับนึงนั่นช่วยให้เขาเก่งทั้งงานบ้านงานเรือน การเข้าครัวทำอาหาร เด็กหนุ่มเคยมีครอบครัวที่แสนอบอุ่นเหมือนคนอื่น สมาชิกในครอบครัว [อีวานีส] ของเขาประกอบไปด้วย พ่อ แม่ และน้องสาวซึ่งอายุน้อยกว่าเขาราวๆ6ปีเศษๆ
ทั้งพ่อและแม่ของเขาต่างทำงานด้วยกันทั้งคู่ รายละเอียดของงานนั้นถูกแจ้งให้ลูกของพวกเขาทั้งสองทราบเพียงแค่ว่าเป็น “นักวิทยาศาสตร์” ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงต้องอยู่บ้านดูแลน้องสาวของเพียงลำพัง แต่ทว่าพ่อกับแม่ของเขาก็ไม่ได้บ้างานถึงขนาดทำงานลืมวันลืมคืน เมื่อตกเย็นหรือใกล้ค่ำพ่อและแม่จะกลับมา ร่วมมื้ออาหารมื้อเย็นที่เด็กหนุ่มเป็นคนตะเตรียม พูดคุยกันตามประสาครอบครัว นับว่าเป็นความสุขที่ดี
แต่ว่าวันหนึ่งในปี AO 1195 ความสุขเหล่านั้นของเขาก็ได้จบลงและเลือนหายไปอย่างไม่มีวันกลับ พ่อและน้องสาวหายตัวไปอย่างลึกลับหลังเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ซึ่งเป็นเหตุให้เซาท์วินด์เซียร์นั้นต้องแยกออกมาจากประเทศหลัก ส่วนทางด้านของแม่นั้นก็เสียชีวิตลงอย่างโหดร้ายต่อหน้าต่อตาของเขา
เด็กหนุ่มเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อพร้อมวัตถุดิบในการปรุงอาหารเล็กน้อยเพียงพอสำหรับคนเดียวกิน
“....แค่คนเดียว....”
มันควรจะดีกว่าการสิ้นเปลืองทรัพยากรถ้าหากต้องซื้อให้กับหลายๆคน ส่วนมากผู้คนมักจะคิดเช่นนั้น แต่กับเขาและใครอีกหลายๆคนที่เห็นคุณค่าของชีวิตไม่คิดเช่นนั้นแน่ การอยู่ตัวคนเดียวแม้จะดูเรียบง่ายและสะดวกสบาย แต่ทว่าในบางครั้งเด็กหนุ่มก็อดรู้สึกเหงาไม่ได้ แต่มันก็เป็นเรื่องที่จำต้องทำใจเท่านั้นเพราะชีวิตของเขานั้นต่างจากใครหลายๆคน เขาคิดเช่นนั้นมาตลอด
“เอาเถอะ....ว่าแต่มื้อเย็นของวันนี้-”
เด็กหนุ่มพูดกับตัวเองเบาๆพร้อมกวาดตามองวัตถุดิบที่เรียงรายอยู่ในถุงพลาสติก
ผลั่ก!
ร่างเล็กของเด็กหนุ่มถูกกระแทกจนเซล้มลงไปนอนคลุกฝุ่น ถุงพลาสติกที่ร่วงหลุดออกจากมือทำให้สิ่งของข้างในกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง เด็กหนุ่มส่ายหัวเบาๆก่อนจะมองหาต้นตอของแรงกระแทก
กลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งอยู่เบื้องหน้า มองมาที่เขาพร้อมพูดว่า
“อะไร มีปัญหาเหรอวะ”
ใช่แล้ว เพราะว่าโลกแห่งนี้มันไม่ใช่โลกที่ธรรมดา เหล่ามนุษย์บางส่วนเริ่มเหิมเกริมเพียงเพราะคิดว่าตนมี [พลังพิเศษ]
จนสามารถข่มเหงคนที่อ่อนแอกว่าได้ เหล่าจิ๊กโก๋พวกนี้คงเหมือนกัน
เด็กหนุ่มหลบสายตาคนกลุ่มนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะค่อยๆลุกไปเก็บของที่กองอยู่บนพื้นอย่างช้าๆ เด็กหนุ่มคนนี้หลีกเลี่ยงที่จะมีปัญหา จึงยอมให้กับคนพวกนี้อย่างง่ายดาย ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีพลัง เพียงแต่เขาไม่มี ความกล้า ต่างหาก ใช่เนื่องด้วยอาศัยอยู่คนเดียว ไม่รู้เพราะเหตุใด เขากลายเป็นคนที่ไม่ค่อยเข้าหาใคร ทำตัวซื่อๆ เซ่อซ่า และที่สำคัญ ชอบที่จะหนีปัญหาเพียงเพราะเขา ไม่มีความกล้า
แล้วพลังพิเศษที่ว่านั้นคืออะไร? พลังพิเศษนั้นเป็นชื่อเรียกของอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติทั้งหลายแล่ ดังเช่นการปล่อยลูกไฟออกจากมือ การเหาะเหินเดินอากาศ หรือแม้กระทั่งพลังกายที่เหนือมนุษย์ก็ด้วยผู้คนที่มีพลังเหล่านั้นจะถูกเรียกว่า [ผู้มีพลังพิเศษ] แต่ถึงแบบนั้นในยุคสมัยนี้มันก็ไม่ใช่สิ่งสามารถที่หาได้ยากเย็นอะไรนัก เพราะว่าผู้คนบนโลกแห่งนี้นั้นมีผู้ไม่สามารถใช่พลังพิเศษได้เพียงแค่ราวๆ 30% ของประชากรโลกเท่านั้น กล่าวคือเกือบทุกๆคนนั้น
มีสิ่งที่เรียกว่าพลังพิเศษอยู่ เด็กหนุ่มผมฟ้าคนนี้ก็ด้วย
“ดูไอ้หมอนี่สิ น่าสมเพชว่ะแค่พูดแค่นั้นก็หงอไปเลย”
หนึ่งในกลุ่มนักเลงนั้นพูดขึ้นพร้อมใช้เท้าเตะเข้าที่หน้าท้องของเด็กหนุ่ม
“อั่ก!”
ร่างเล็กทรุดตัวลงด้วยความเจ็บปวดก่อนจะมองไปยังกลุ่มคนข้างหน้าด้วยสายตาที่เขาเองก็ไม่อาจทราบความรู้สึกได้โกรธ? แค้น? หวาดกลัว? เป็นความรู้สึกสับสนต่อตัวเอง แต่ว่านั่นดูท่าทางจะไม่ถูกใจกลุ่มชายฉกรรจ์นั้นแน่นอน
ผัวะ!!
เป็นเวลาค่ำมืดแต่ไม่ดึกมากนัก แสงจันทร์ส่องสว่างสีเหลืองอ่อนไปทั่วเมือง ในซอยขนาดรถสองคันผ่านได้นั้นเด็กหนุ่ม
ผมสีฟ้ากำลังเดินโซซัดโซเซไปมาพร้อมใช้มือข้างนึงยันกำแพงเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองล้มลง นี่ถือเป็นความโชคร้ายของหนุ่มน้อย
ที่มีอยู่บ่อยๆ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลใดไม่ทราบเขามักจะถูกอัดจนน่วมเพียงเพราะความรู้สึกที่แสดงผ่านดวงตาของซึ่งเป็นความรู้สึกแบบที่ตัวเขาเองยังไม่อาจเข้าใจได้ แต่เขาก็ไม่เคยโต้ตอบกลับไปแม้แต่ครั้งเดียว เขาอ่อนแอด้านจิตใจ หาใช่ร่างกาย จิตใจของ
เขาไร้ซึ่งความกล้า
ท่ามกลางท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มของช่วงเวลาเช้ามืดในเมืองเซาท์วินด์เซียร์แห้งนี้ บนดาดฟ้าของอพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่ง ปรากฏ
ร่างของชายสองคน คนหนึ่งเป็นชายร่างยักษ์ตัวใหญ่กำยำไว้ผมทรงสกรีนเฮดในชุดสบายๆอย่างเสื้อกล้ามและกางเกงยีน ส่วนชาย
อีกคนนั้นร่างกายสูงโปร่ง ไม่ถึงกับผอมแห้งและก็ไม่ได้อ้วนพุงพลุ้ย ผมยาวประบ่าของเขาพริ้วไสวไปตามแรงลมที่พัดผ่าน
“ดูเหมือนเจ้าพวกนั้นจะยังไล่ตามเราอยู่สินะ ปล่อยไว้แบบนี้มันจะขัดขวางแผนการของเรารึเปล่า แกรี่?”
ชายตัวใหญ่พูดขึ้น
“แน่นอนว่าเป็นแน่ เพราะแบบนั้น เราจึงต้องรีบกำจัดมันไปซะ.....นั่นคือหน้าที่ของแกกับชั้น เอริโก้....”
แกรี่กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
บนโลกแห่งพลังพิเศษนี้นั้น ความสงบสุขกำลังถูกทำลาย มรสุมลูกใหญ่กำลังถาโถมเข้าหาเมืองนี้อย่างช้าๆ รวมทั้ง มันยัง
จู่โจมชะตาชีวิตของเด็กหนุ่มผมสีฟ้าคนนั้นด้วยเช่นกัน....และทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนั้นก็คืออารัมภบทแห่งเรื่องราวของ
The world of “Magic” and “Psychic”.
RE: The Judgment case of Magic and Physhic -คดีพิศวงพิพากษา- - Mary - 05-13-2013
เนื้อเรื่องน่าสนใจดีค่ะ เเต่พระเอกอ่อนเเอเเบบนี้ก็รู้สึกว่ามันเกินไปหน่อยนึงเเต่ก็นะเดี๋ยวก็โชว์เทพเองละคะ จะติดตามนะคะ
RE: The Judgment case of Magic and Physhic -คดีพิศวงพิพากษา- - Kuma - 05-13-2013
จะรออ่านว่าพระเอกมีพลังอะไร
ปล. ความสามารถและทักษะ//ท่านพิมพ์พลาดน้อยมาก นับถือๆ
RE: The Judgment case of Magic and Physhic -คดีพิศวงพิพากษา- - Muge9thD - 05-13-2013
สนุกมากฮะ สนุกจนไร้ที่ติจริง ชัจะอยากอ่านตอนต่อไปแล้วสิ...
ปล. ช่วงท้ายๆตอนรู้สึกการจัดเรียงบรรทัดมันดูขาดตอนนิดหน่อยอะน่อ แต่ก็ถือได้ว่าเพอร์เฟ็คล่ะ >w< b+
RE: The Judgment case of Magic and Physhic -คดีพิศวงพิพากษา- - Nivas - 05-23-2013
หน้าปกช่วงSector I อันที่1 ครับ ;w;
RE: The Judgment case of Magic and Physhic -คดีพิศวงพิพากษา- - Nivas - 05-24-2013
Sector I
Case 1: Girl of flame “Frasia” and case of “Gadiorus”.
วันที่ 31 เมษายน ปี AO ที่ 1200 เกาะแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของวินด์เชียร์
แสงตะวันสาดส่องประกายสีส้มจางๆของช่วงเวลาบ่าย ที่นี่คือโรงเรียนมัธยมขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของ [เซาท์วินเซียร์] อันมีนามที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่า [แอสทรัลโอเชี่ยนไฮสคูล สาขาเซาท์วินด์เซียร์] เป็นโรงเรียนมัธยมที่ยิ่งใหญ่มีสาขาครอบคลุมอยู่ทั่วโลก ขึ้นชื่อในด้านคุณภาพการเรียนการสอน แถมยังคิดค่าเรียนต่อเทอมได้ถูกมากเมื่อนำมาหักลบกับสิ่งที่จะได้รับ คือความสามารถทั้งด้านการเรียนและการใช้ [พลังพิเศษ] ที่สุดยอดแล้วนั้นถือว่าคุ้มเกินคุ้มเลยทีเดียว
พลังพิเศษนั้นเป็นชื่อเรียกของอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติทั้งหลายแล่ ดังเช่นการปล่อยลูกไฟออกจากมือ การเหาะเหินเดินอากาศ หรือแม้กระทั่งพลังกายที่เหนือมนุษย์ก็ด้วย ผู้คนบนโลกใบนี้นั้นต่างเป็น [ผู้มีพลังพิเศษ] กว่า 70% เช่นเดียวกับเขาคนนี้
เด็กหนุ่มร่างเล็กคนหนึ่งกำลังแหงนหน้ามองท้องฟ้าเหมือนอย่างทุกทีที่เขาชอบทำ ท้องฟ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับชื่อของเขาอยู่นั่นคงจะเป็นเหตุผลที่เขารู้สึกสบายใจเมื่อได้มอง คงเพราะมันให้ความรู้สึกที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับตัวของเขา เนื่องจากช่วงบ่ายนี้นั้น มีชั่วโมงเรียนที่เรียกว่า [พัฒนาพลังพิเศษ] เขาจึงอยู่ในชุดพละของโรงเรียน คราบเรียนพัฒนาพลังพิเศษนั้นอยู่นอกเหนือการเรียนตามปกติ ซึ่งก็ตรงตามชื่อ
มันคือชั่วโมงเรียนที่เอาไว้ศึกษาเพื่อพัฒนาสิ่งที่เรียกว่าพลังพิเศษ ซึ่งตามปกติเด็กหนุ่มนั้นไม่เคยได้แสดงพลังของเขาในการสอบภาคปฏิบัติเลยสักครั้ง เพียงเพราะกลัวว่าจะถูกเขม่นจากพวกนักเลงหลังห้องทั้งหลาย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขามองว่ามันแย่ที่สุด และด้วยเหตุนั้นเขาจึงมีรายชื่อในวิชาการพัฒนาพลังพิเศษรวมอยู่กับกลุ่มคนที่ มีพลังพิเศษที่แสดงผลได้น้อยที่สุด ทางสถานศึกษานั้นมีการจัดอันดับนักเรียนที่แข็งแกร่งที่สุด กับพวกที่ด้อยความสามารถแน่นอน การมีชื่อติดอันดับในประเภทที่สองนั้นมันก็เหมือนกับการโดนประณามดีๆนี่เอง ซึ่งมันคือความโหดร้ายเพียงหนึ่งเดียวของโรงเรียนแห่งนี้
ช่วงเวลาเรียนมาถึง นักเรียนทั้งหลายต่างจัดแถวอย่างเป็นระเบียบเพื่อรับการสอนจากอาจารย์ประจำวิชา ดูเผินๆมันก็ดูเหมือนการเรียนวิชาพละยังไงยังงั้น ซึ่งก็ไม่ผิด เพียงแต่มันไม่ใช่วิชาพละแบบปกติ
ดูท่าทางวันนี้จะเป็นวันที่แย่วันหนึ่ง...เด็กหนุ่มคิดในใจแบบนั้นเมื่อได้ยินคำพูดหนึ่งจากอาจารย์ประจำวิชา มันคือการสอบภาคปฏิบัติ เป็นอะไรที่เด็กหนุ่มผมฟ้าคนนี้เกลียดเข้าไส้ เพราะต้องคอยระวังไม่ให้ตัวเองไปผิดใจกับใครเข้าแล้วจะโดนซ้อมหนักกว่าที่โดนอยู่ประจำ เนื่องจากเป็นการสอบที่แน่นอนว่าต้องมีคู่ การหาคู่สอบนั้นก็เป็นสิ่งหนึ่งที่น่าลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง เด็กหนุ่มเลือกที่จะไม่เข้าหาใครก่อน เพียงแต่รอให้คนที่เกิดปิ๊งตัวเองและเข้ามาขอให้เป็นกระสอบทรายให้ และแล้วก็ประสบผล เพียงแต่ว่า คงเป็นผลที่ไม่น่าพอใจนัก
“เป็นพวกไม่มีคู่สินะ นายน่ะ.....จับคู่กัน”
เสียงเล็กๆเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลังเด็กหนุ่ม
“เอ๋....”
เด็กหนุ่มหันไปยังต้นเสียง และนั่นแทบจะทำให้เขาเป็นลมล้มพับไปในทันที ทำไมน่ะเหรอ เจ้าของเสียงน่ารักสดใสนั้นคือหญิงสาวคนหนึ่ง เรือนผมสีส้มยาวประบ่า ดวงตาสีแดงส่องประกาย ตัวเล็กกว่าเด็กหนุ่มราวๆ 4-5เซนติเมตร แต่คำเชิญชวนนั่นยังไม่น่าตกใจเท่ากับผู้ที่มาชักชวน เพราะเธอคือ
“....ฟรอนเทียร์....”
เด็กหนุ่มเหงื่อตก
ฟรอนเทียร์เป็นชื่อที่เด็กหนุ่มใช้เรียกเนื่องด้วยความเกรงใจ ชื่อจริงๆของเธอคือ [ฟราเซีย เดอร์ ฟรอนเทียร์] สาวน้อยที่ควบตำแหน่งสาวงามและแข็งแกร่งที่สุดในห้องเรียนของเด็กหนุ่ม และการที่เธอซึ่งไม่เคยจะหันมาคุยกับเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียวกับมาสนอกสนใจในการลากเขาไปเป็นกระสอบทรายสำหรับต่อยเล่นนั่นล่ะที่น่าประหลาดใจ และความเลวร้ายสำหรับเด็กหนุ่มไม่จบเพียงแค่นั้น เมื่อเหล่าชายโฉดแถมยังโสดกว่าครึ่งของผู้ชายในห้องหันมามองเด็กหนุ่มด้วยสายตาอย่าง อบอุ่น?จนหนาว?ไปทั่วตัวและกระดูสันหลังอย่างพร้อมเพรียงกัน แน่นอนถ้าตอบตกลงชะตากรรมของเขาได้มีอันเป็นไปแน่ ไม่จากฟราเซีย ก็จากเพื่อนร่วมชั้น
“อ...เอ่อ มันคง ไม่เหมาะ...”
เด็กหนุ่มตัดสินใจปฏิเสธคำเชิญ
“อย่าไปแคร์สายตารอบข้างสิ มีปัญหาก็อัดให้ปลิวเลย.....มาจับคู่กัน”
ไม่แคร์ไม่ได้หรอก ไม่งั้นได้ตายกันพอดี.....เด็กหนุ่มคิดในใจ
“ผม....ผมหมายถึง....เอ่อ...ผมคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ดีนักหรอกนะ.....อ๊ะ”
ไม่รอคำตอบ ไม่ฟังเหตุผล ฟราเซียลากแขนเด็กหนุ่มไปลงชื่อสอบอย่างรวดเร็ว ....ดูเหมือนจะเอาแต่ใจกว่าที่คิดนะ....เด็กหนุ่มพูดกับความคิดของตัวเอง
บนลานหินกว้างรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดย่อม เด็กหนุ่มผมสีฟ้ายืนประจันหน้ากับสาวงามและแข็งแกร่งที่สุดในห้อง ด้วยความรู้สึกกดดัน นักเรียนชายที่ยืนดูอยู่นอกลานหินกำลังส่งรังสีอาฆาตใส่เขาอย่างไม่ลดละ
“..จะทำ...ยังไงดี”
หนุ่มน้อยตั้งคำถามกับตัวเอง
มัวแต่เหม่อคิดหาทางเอาตัวรอด จึงไม่ทันได้ระวังและไม่ทันได้ยินสัญญาณเริ่มต้นการสอบปฏิบัติ
เปรี้ยงง!!!
เริ่มต้นด้วยความอนาถของเด็กหนุ่ม ซึ่งยังไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าเขาโดนอะไรเข้าไป เด็กหนุ่มกลิ้งไปข้างหลังจนเกือบสุดขอบลานหิน เด็กหนุ่มกระอักเพราะความจุก เมื่อส่ายหน้าไล่ความเจ็บปวดเพื่อดูสิ่งที่ส่งตัวเขามาสุดขอบลานประลองนั้นคืออะไร ซึ่งนั่นคือสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง เรียวขาเล็กๆเหยียดตรงมาทางเด็กหนุ่ม ไม่ต้องตั้งคำถามเลย ฟราเซียเพียงแค่ยันเขาแบบเบาะๆเท่านั้น ยังตกตะลึงไม่นานนักฟราเซียก็แวบหายไปจากตรงหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงฝุ่นควัน เด็กหนุ่มกวาดตามองอย่างรวดเร็วก่อนจะไปสะดุดอยู่เหนือหัวของตน ขาเล็กที่ทรงพลังนั้นกำลังถูกฟาดลงมาตรงกลางกระหม่อมของเขา แน่นอนถ้าไม่หลบล่ะก็ได้สลบแน่
ผลั่ก!!
เสียงร้องออกมาเป็นคำสั้นๆที่ไม่มีใจความว่า อั่ก นั้นเล็ดลอดออกมา หากแต่ไม่ใช่ของเด็กหนุ่ม แต่เป็นของฟราเซีย เดอร์ ฟรอนเทียร์ ซึ่งกำลังทรุดลงกับพื้นโดยมีเด็กหนุ่มที่ยืนหอบในท่าทุ่มของวิชายูโดอันซึ่งเป็นทักษะการป้องกันตัวของชาวตะวันตก
“แย่ล่ะ เผลอตัวไปหน่อย!”
เด็กหนุ่มดูท่าจะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในใจก็กำลังคิดว่านั่นทำให้ฟราเซียและแฟนคลับแค้นเคืองใจหรือไม่
“แค่พลาดนิดหน่อยเท่านั้นล่ะน่า....จะบุกต่อล่ะนะ!!”
ฟราเซียวิ่งเข้ามาหาเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว พร้อมแสดงสิ่งที่เรียกว่า พลังพิเศษ ให้เขาได้ดูเป็นขวัญตาด้วย(ถึงจะเห็นบ่อยจนชินแล้วก็เถอะ) ในมือของฟราเซียมีเปลวไฟที่ก่อตัวเป้นรูปร่างทรงกลมซึ่งไม่กลม บิดเบี้ยวไปตามกระแสของพลัง ความร้อนระอุส่งผ่านมาถึงตัวเด็กหนุ่มทำให้สัญชาตญาณของเขาสั่งให้ถอยไปห่างๆ หรือไม่ก็ตอบโต้
เส้นผมและดวงตาของเด็กหนุ่มส่องประกายสีฟ้าสว่างออกมา ไม่มีใครมองเห็นชัด เพียงแต่ฟราเซียมองเห็น
แสงสีส้มของอาทิตย์อัสดงมาเยือนอีกครั้ง เด็กหนุ่มก็ทำกิจวัตประจำวันด้วยการมองดูท้องฟ้าบนดาดฟ้าของโรงเรียน วันนี้อาจจะเป็นวันที่โชคร้าย แต่ว่าก็เป็นวันที่โชคดีเช่นกัน ด้วยเหตุการณ์เมื่อช่วงบ่าย ทำให้วันนี้ยังไม่มีใครลงมือทำร้ายเด็กหนุ่มคนนี้แต่อย่างใด เขามองมือขวาของตัวเองที่กำลังเกาะอยู่กับลูกกรงเหล็กที่ถูกขึงกั้นไว้บนดาดฟ้าด้วยแววตาที่ไม่อาจทราบอารมณ์
“กังวลอะไรของนาย....เรื่องนั้นชั้นไม่โกรธหรอกย่ะ”
เสียงของฟราเซียดังขึ้นข้างๆ
“........”
เด็กหนุ่มตอบกลับด้วยความเงียบ เพียงแค่หันไปมองฟราเซียเล็กน้อย
“ยังไงก็ตาม วันนี้นายทำให้ชั้นสนุกมากจริงๆ ไม่ได้เอาจริงๆมานานแล้ว เสียดายที่ครูดันมาห้ามซะก่อน....”
ฟราเซียถอนหายใจอย่างเซ็งๆ
“ดีแล้วนี่ ไม่งั้นผมก็ตายกันพอดี.....”
ทั้งคู่หัวเราะเล็กน้อย ก่อนที่เด็กหนุ่มจะพูดขึ้นมาต่อเพื่อคลายข้อสงสัย
“ฟรอนเทียร์...ทำไมถึงเลือกคู่กับผมล่ะ”
“เปล่า ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกชั้นแค่เซ็งกับไอพวกมาขอจับคู่เพราะหวังจีบน่ะ”
ฟราเซียยิ้มให้เด็กหนุ่มแบบเป็นมิตร
“อ้อ เข้าใจล่ะ นายกลัวโดนแฟนคลับของชั้นลุมทึ้งสินะ ฮ่าๆๆๆ”
ฟราเซียระเบิดหัวเราะ ชักไม่เข้าใจว่าแบบนี้เป็นถึงสาวงามของห้องได้ยังไง เด็กหนุ่มคิดในใจพร้อมยิ้มเจื่อนๆ
“ผ่อนคลาย ผ่อนคลาย ชั้นจัดการให้ได้นะเรื่องนี้น่ะ ชักถูกใจนายนิดหน่อยแล้วล่ะ”
คำพูดนั้น ไม่ว่าจงใจหรือไม่แต่มันก็ทำให้เด็กหนุ่มเขินขึ้นมาเล็กๆ
“ฟราเซีย เดอร์ ฟรอนเทียร์ จากนี้ชั้นกับนายเป็นเพื่อนกัน อี~วา~นีส~ คุง”
มือเล็กๆยื่นออกมาหาเด็กหนุ่ม
เป็นครั้งแรกที่รู้สึกดีใจขนาดนี้ เด็กหนุ่มยิ้มออกมาอย่างปลื้มเปรม ก่อนจะยื่นมือไปจับมือนั้นไว้
“อื้อ...ส่วนชื่อของผมคือ____________”
“แต่จะเรียกชื่อหรือนามสกุลก็แล้วแต่นะ ฟรอนเทียร์”
ฟราเซียยิ้มก่อนจะตอบกลับไปว่า
“เป็นชื่อที่ฟังดูอบอุ่นและยิ่งใหญ่ดีนะ”
เป็นมือเล็กๆที่อบอุ่น นั่นคือคำสรุปแบบสั้นๆของเด็กหนุ่ม ทั้งคู่ยิ้มให้กันท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง ทว่าการพบพานครั้งนี้คือจุดเริ่มต้น ของ [มรสุมแห่งโลกใบนี้]
ห้องสี่เหลี่ยมขนาดกลาง รอบๆถูกวางเรียงรายด้วยคอมพิวเตอร์หลายเครื่อง แต่ละเครื่องนั้นแสดงผลด้วยภาพข้อมูลของอะไรบางอย่าง ดูเหมือนรูปภาพของมนุษย์ ส่วนบางจอก็แสดงถึงแผนที่โลก บ้างก็มีตำแหน่งพิกัดและรูปภาพสถานที่แห่งหนึ่ง
“การจับกุมไม่เป็นผล [ผู้ต้องหา] หลบหนีออกไปได้แล้วครับ!! ”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นขณะที่เขากำลังควบคุมคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งอยู่
“ผู้ช่วยผู้ต้องหาคาดว่ามีสองคนค่ะ ตอนนี้คนของเราถูกจัดการเกือบหมดแล้ว”
“บ้าน่า!? สมาชิกฝีมือดีตั้งเกือบร้อยเอาชนะคนสามคนไม่ได้งั้นเรอะ”
เสียงจอแจดังอย่างต่อเนื่อง
“สงสัย คงต้องใชคนคนนั้นแล้วล่ะ ฝากด้วยนะ [ริโฮว] ”
ชายคนหนึ่งหันไปพูดกับสาวน้อยร่างเล็กที่อยู่ข้างๆ
“The case of Gadiorus รีเทิร์น...สินะ”
ริโฮวพูดขึ้นเบาๆ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ผมทวินเทลสีชมพูดสะบัดพลิ้วไปพร้อมกันดูสง่างาม
บนหน้าจอคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งในห้องเดิมมีภาพของเด็กหนุ่มคนนึ่งปรากฏอยู่ นามสกุลที่ถูกบันทึกไว่ว่า [อีวานีส]….
|