Thread Rating:
  • 0 Vote(s) - 0 Average
  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5
Design ตำนานเรื่อยเปื่อยไป (มะพร้าวห้าวมาขายสวน Return)
#1
ไม่ต่างอะไรจากกระทู้เก่าครับ ขอเปิดตัวอีกรอบด้วยเทพีแห่งรุ่งอรุณให้มันสดใสไปเลย

ก่อนอื่นก็ขอยกฉบับกรีกขึ้นมาก่อน อีออสเป็นหนึ่งในลูกๆของไททันแห่งนภา ไฮเปอเรียน โดยมีพี่น้องที่สนิทสนมกันคือเฮลิออส (สุริยา) กับ เซเลเน (จันทรา)

หน้าที่ของอีออสคือเป็นผู้เปิดประตูสวรรค์ในทุกเช้าให้เฮลิออสขับรถออกมาส่องแสงสว่างแก่มวลมนุษย์ เธอหน้าตาสวยงามตามประสาเทพกรีก แต่เพราะบทในตำนานเลยเน้นว่ามือสวยเป็นพิเศษ จริงๆแล้วบทคุณเธอควรมีแค่นั้น ถ้าไม่ใช่ว่าเธอไปมีความสัมพันธ์กับเทพสงคราม เอรีส แล้วอโฟรไดท์อิจฉาขึ้นมา เลยสาปให้เธอมีความต้องการทางเพศสูงที่ไม่มีวันเติมเต็มซะเลย อีออสเลยลักพาตัวหนุ่มๆมาเป็นคู่รักซะหลายคน ในจำนวนนี้มีทิโทนัสที่เธอถูกใจเป็นพิเศษเลยขอให้ซุสทำให้ทิโทนัสเป็นอมตะ โชคร้ายของทิโทนัสที่อีออสไม่ได้ขอให้ทิโทนัสเป็นหนุ่มไปตลอดกาลด้วย เวลาผ่านไปทิโทนัสที่แก่ชราจนยกแขนยังไม่ขึ้นก็ถูกอีออสเก็บไว้ในห้องเฉยๆ ตำนานบางสำนวนแก้มาอีกหน่อยว่าทิโทนัสที่แก่แล้วถูกแปลงร่างเป็นจิ้งหรีดหรือจักจั่นไปซะ ลูกๆของอีออสนั้นที่สำคัญก็คือเทพลมแห่งทิศทั้งสี่ และก็ เมมนอน ขุนศึกแห่งเอธิโอเปียซึ่งยกทัพไปช่วยเมืองทรอยสู้กับกลุ่มพันธมิตรกรีก และก็เป็นรายเดียวที่สู้กับอคิลลีสได้อย่างสูสี ถึงขั้นที่ซุสเสกให้ทั้งคู่ไม่รู้จักเหนื่อยและมีร่างกายใหญ่โตให้ทุกคนเห็นการต่อสู้ได้ถนัด ก่อนที่เมมนอนจะถูกอคิลลีสฆ่าตายจนได้

ส่วนฉบับฮินดูเรานั้นก็ตรงกันเยอะ อุษาเป็นลูกสาวของพระทโยสบิดา (ท้องฟ้า) และทำหน้าที่เปิดประตูในพระสุริยาแล่นรถทุกเช้า (ความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้น ยุคฤคเวทบอกว่าอุษาเป็นแม่ของพระสุริยา แต่คัมภีร์ยุคต่อมาๆลดลงมาเป็นภรรยาแทน) แต่เธอมีหน้าที่อีกอย่างคู่กับน้องสาว ราตรี เทพีแห่งรัตติกาล นั่นคือเป็นผู้ปกป้องมนุษย์จากอันตรายในยามค่ำคืน โดยในตอนกลางคืนนั้นราตรีจะปรากฏตัวเป็นแสงดาวให้มนุษย์พักผ่อนพร้อมกับป้องกันจากปิศาจแห่งยามค่ำคืน จนตอนเช้าอุษาก็จะปลุกมนุษย์ให้ตื่นและขับไล่ปิศาจไป จุดเด่นของเทพีอุษาก็คือเธอเป็นตัวตนของรุ่งอรุณ และหยุดโตหยุดแก่เร็วกว่าเทพเทพีทั่วๆไป นั่นก็คือเป็นสาวน้อยประมาณวัยรุ่นตลอดกาลนั่นแล

[Image: ushas.jpg]
ตามประสากระทู้นี้ครับ เทพีอุษาในสารานุกรมโมเอะ
[-] The following 3 users say Thank You to Kuruni for this post:
  • arkman, Mysticphoenix, NingSama
Reply
#2
ในอารยธรรมอเมริกากลางนั้น เราจะเห็นรูปปั้นที่แพร่หลายมากอยู่แบบหนึ่งนั่นคืออสรมีขน ซึ่งชาวมายันเรียกว่า คูคุลคัน (Kukulkan) หรือ คูคูมัทซ์ แต่บ้านเราคุ้นหูกับชื่อที่ชาวแอซเท็กเรียกมากกว่า นั่นก็คือ เควทซัลโคอัทล์ (Quetzalcoatl)

เควทซัลโคอัทล์นั้นเป็นหนึ่งในเทพสำคัญทั้งสี่ของอารยธรรมแอซเท็ก เป็นเทพแห่งสายลม ดาวศุกร์ ศิลปะ และความรู้ ตอนแรกนั้นเควทซัลโคอัทล์ร่วมมือกับเทซคาทลิโปคา (Tezcatlipoca)สร้างแผ่นดิน โดยโลกในตอนแรกนั้นมีแต่ผืนน้ำ เหล่าเทพสร้างอะไรออกมาก็ตกลงไปในน้ำและถูกสัตว์ประหลาดยักษ์ ซิแพคทลิ (Cipactli) จับกินหมด (ซิแพคทลิมีร่างเป็นจระเข้ส่วนหนึ่ง ปลาส่วนหนึ่ง และคางคกอีกส่วนหนึ่ง ซิแพคทลินั้นหิวตลอดเวลาและมีปากอยู่ตามข้อต่อต่างๆทั่วตัวจึงดุมาก) เทซคาทลิโปคานั้นยอมใช้เท้าตัวเองเป็นเหยื่อล่อซิแพคทลิ ทั้งสองคนช่วยกันฆ่าซิแพคทลิแล้วก็ใช้ร่างของซิแพคทลิสร้างเป็นแผ่นดินขึ้นมา

แต่หลังจากนั้นคณะเทพก็ไม่ลงรอยกันเรื่องการสร้างโลกและผลัดกันทำลายดวงอาทิตย์และมนุษย์ด้วยภัยธรรมชาติ โดยพระอาทิตย์ดวงแรกก็คือเทซคาทลิโปคานั่นเอง แต่เพราะพิการขาขาดอยู่ข้างหนึ่งพระอาทิตย์ของเทซคาทลิโปคาก็เลยมีแค่ครึ่งดวง ทำเอาบรรยากาศมัวๆไปด้วย ในที่สุดเควทซัลโคอัทล์ก็ทนดูโลกที่มืดๆแบบนี้ไม่ไหว ซัดเทซคาทลิโปคาตกลงมาจากฟ้า เทซคาทลิโปคาก็ตอบโต้โดยการส่งเสือภูเขาที่เป็นลูกน้องไปกินมนุษย์รุ่นแรกจนหมด (รุ่นแรกนี่เป็นยักษ์ครับ)

เควทซัลโคอัทล์นั้นรับหน้าที่เป็นตะวันดวงที่สอง ซึ่งทุกอย่างก็ดำเนินไปตามปกติพักนึง จนกระทั่งพวกมนุษย์ซึ่งใช้ชีวิตสบายๆกันมากก็เริ่มจะเลิกเคารพเหล่าเทพและทำตัวป่าเถื่อยเข้าทุกที เทซคาทลิโปคาเลยสาปให้เป็นลิงกันหมด เควทซัลโคอัทล์โมโหขึ้นมาเลยสร้างพายุหอบเอาลิงพวกนั้นไปโยนในทะเลแล้วลงจากตำแหน่ง

พวกเทพผลัดกันทำลายมนุษย์อยู่หลายรอบ จนกระทั่งเควทซัลโคอัทล์สร้างมนุษย์ยุคปัจจุบันซึ่งเป็นรุ่นที่ห้า โดยชวนโซโทลท์ (Xotolt) น้องชายฝาแฝดลงไปยังยมโลก มิคทลัน (Mictlan) แล้วเก็บกระดูกของมนุษย์รุ่นก่อนๆเอามาผสมกับเลือดตัวเองให้เกิดมนุษย์รุ่นใหม่ขึ้นมา นอกจากนั้นยังเป็นผู้ประดิษฐ์หนังสือและปฏิทิน รวมทั้งนำข้าวโพดซึ่งเป็นอาหารมาให้มนุษย์ จริงๆแล้วยุคนี้จะบอกว่าเป็นยุคทองของมนุษย์ก็ได้ แต่สุดท้ายนั้นเควทซัลโคอัทล์ก็ถูกเทซคาทลิโปคามอบเหล้าจนเมาไม่รู้เรื่องและกระทำเรื่องน่าอับอาย (บ้างก็ว่าเควทซัลโคอัทล์มีความสัมพันธ์กับนักบวชหญิงหรือน้องสาวตัวเอง แต่บางที่ก็ว่าเทซคาทลิโปคาแค่หลอกให้เควทซัลโคอัทล์มองหน้าของเทซคาทลิโปคาแล้วคิดว่ากำลังส่องกระจกและเห็นหน้าตัวเองที่ฉายแววชั่วร้ายเต็มที่) เควทซัลโคอัทล์ก็เลยเผาตัวเองตาย คนที่ศึกษาประวัติศาสตร์ที่สเปนบุกเม็กซิโกนั้นก็คงจำได้ว่าสาเหตุที่สเปนยึดแอซเทคได้ง่ายกว่าที่ควรนั้นเป็นเพราะชาวแอซเท็กเข้าใจว่าเฮอนัน คอร์เทซผู้นำทัพสเปนนั้นเป็นเควทซัลโคอัทล์ที่กลับมาจากแดนไกลนั่นเอง

สาเหตุที่เทซคาทลิโปคาทำลายเควทซัลโคอัทล์นั้น ตามตำนานแล้วบอกว่าเป็นเพราะเควทซัลโคอัทล์นั้นเป็นเทพแอซเท็กตนเดียวที่ไม่ชอบการบูชายัญมนุษย์ (มีนิยาย/หนัง/การ์ตูนหลายๆเรื่องเข้าใจผิดว่าพิธีควักหัวใจคนแบบเป็นๆมาบูชาเทพนั้นเป็นพิธีของเควทซัลโคอัทล์ จริงๆแล้วเป็นพิธีของเทพสงคราม ฮูอิทซิโลพอชทลิ (Huitzilopochtli)ซึ่งเป็นตะวันดวงที่ห้าต่างหาก พิธีของเควทซัลโคอัทล์มีกรีดเลือด แต่ไม่ถึงตาย ของสังเวยหลักของเควทซัลโคอัทล์นั้นเป็นนกฮัมมิงเบิร์ดกับผีเสื้อต่างหาก) แต่พวกเทพแอซเท็กอื่นๆนั้นถ้าไม่มีคนตายแล้วจะอ่อนกำลังลง และก็ประมาณว่ากลัวจะซ้ำรอยตะวันดวงที่สองด้วย เพราะถ้ามนุษย์รุ่งเรืองมากๆก็จะไม่สนใจเทพอีก

(แต่เทซคาทลิโปคาก็ชั่วอยู่แล้วด้วยน่ะนะ ตอนตะวันดวงที่สามซึ่งทลาล็อค (Tlaloc)เทพแห่งน้ำทำหน้าที่นั้น เทซคาทลิโปคาก็ไปชิงตัวโซชิเควซาล (Xochiquetzal) เทพีแห่งดอกไม้ซึ่งเป็นภรรยาของทลาล็อคมาเป็นเมียตัวเอง ทลาล็อคที่ซึมสนิทเลยไม่ได้ทำให้ฝนตก พอมนุษย์ขอฝนมากๆเข้าก็พาลเสกฝนไฟจนโลกไหม้เกรียมซะงั้น)

ปิดท้ายด้วยแฟนอาร์ทตามสไตล์กระทู้นี้ (ต้นฉบับ:http://www.pixiv.net/member_illust.php?m...d=30405560)
[Image: quetzal.jpg]
Reply
#3
ขุดครับขุด (นานๆทีนะ)

[Image: melusine_0g1.jpg]
(ภาพประกอบจากเกม Elder Sign)

เมลูซีน (Melusine)
หรือ เมลูซินา เป็นภูตแห่งน้ำจืดตามแม่น้ำหรือน้ำพุของยุโรป ตามตำนานนั้นปกติแล้วเมลูซีนจะมีร่างเป็นมนุษย์ มีพลังเวทมนต์ขนาดเสกปราสาทได้ทั้งหลัง แต่งงานกับหนุ่มๆได้ตามปกติ แต่ทุกสัปดาห์จะมีอยู่วันหนึ่งทีเธอจะกลายร่างเป็นร่างจริง ซึ่งตรงนี้บางตำนานว่าเป็นครึ่งคนครึ่งงู บางฉบับก็ว่าเป็นนางเงือก ซึ่งปกติแล้วตอนถูกขอแต่งงาน เมลูซีนก็จะขอเวลาเป็นส่วนตัวไม่พบใครเลยแม้แต่คุณสามีเป็นหนึ่งวันทุกสัปดาห์แล้วเก็บตัวแช่น้ำในอ่างทั้งวัน

ในตำนานนั้นก็ตามสูตรคือคุณสามีมักจะสงสัยแอบมองเอา ซึ่งในตำนานเดิมนั้นเมลูซีนก็จมหายไปในพื้นหินทั้งอ่างอาบน้ำเลย แต่ทุกๆเจ็ดปีเธอจะกลับมาในร่างงูที่คาบกุญแจไว้ ซึ่งถ้าใครกล้าหยิบกุญแจจากปากของเธอก็จะทำให้เธอเป็นอิสระและขอเธอแต่งงานได้

ในเรื่องที่แต่งในช่วงหลังนั้นแก้ไปอีกหน่อยว่าเมลูซีนเป็นลูกสาวคนโตของภูตชื่อพรีสไซน์ ซึ่งตอนที่พรีสไซน์แต่งงานกับพระราชาแห่งอัลบานี(ชื่อเดิมของสก็อตแลนด์)นั้นเธอก็ยื่นเงื่อนไขไม่ให้องค์ราชามาดูตอนที่เธอคลอดลูกหรืออาบน้ำให้ลูกๆ และเมื่อพระราชาละเมิดสัญญาพริสไซน์ก็พาลูกๆหนีไปเกาะอวาลอน ปรากฏว่าพอเมลูซีนโตขึ้นมาเธอดันคิดแค้นพ่อเลยชวนน้องๆไปจับพ่อมาขังไว้ในภูเขา เมื่อพริสไซน์รู้เรื่องเข้าก็โกรธมากเลยสาปให้เมลูซีนกลายเป็นครึ่งคนครึ่งงูทุกวันเสาร์

ที่ต่างจากฉบับตำนานเดิมอีกหน่อยคือพอคุณสามีเห็นเมลูซีนในร่างจริงแล้วก็คุยกันรู้เรื่องดี...จนกระทั่งคุณสามีทะเลาะกับเมลูซีนแล้วดันด่าเชิงประจานเธอต่อหน้าฐานกำนัลว่านังงูพิษ เมลูซีนก็แปลงร่างเป็นมังกรแล้วมอบแหวนวิเศษให้สามีสองวง ก่อนจะบินหายไปโดยไม่กลับมาอีก
[-] The following 3 users say Thank You to Kuruni for this post:
  • arkman, dreamknight, motley
Reply
#4
เมลูซีน คณะผมเคยเอาไปทำละครเวทีด้วย แต่ผู้หญิงเป็นโจรสลัด แล้วก็ยังไม่แต่งงาน คืนที่แปลงร่างจะเก็บตัวในห้องส่วนตัวในเรือห้ามใครเข้ามา
[Image: webboard%20signature1_zpskhtut2jg.png]
การทำอาหารที่อร่อยที่สุด และเดือดร้อนชาวบ้านมากที่สุด กำลังจะเริ่มขึ้น
Reply
#5
เซลกี้ (Selkie)

มนุษย์แมวน้ำในตำนานของสก็อตแลนด์ (ที่ไอร์แลนด์ก็มี แต่เรียกว่า Roane) เซลกี้นั้นมีหน้าตาแบบแมวน้ำธรรมดาแต่สามารถถอดหนังออกเป็นมนุษย์ธรรมดาได้

เซลกี้นั้นมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งผู้ชายก็จะหล่อลากดินและมีงานอดิเรกคือชอบมาNTRกับภรรยาของชาวประมงที่สามีออกไปหาปลานานๆแล้วทิ้งให้ภริยาเปลี่ยวกายเปลี่ยวใจ ว่ากันว่าถ้าสาวที่แต่งงานแล้วนางใดร้องไห้ให้น้ำตาหยดลงไปในทะเลเจ็ดหยดก็จะเรียกเซลกี้ชายออกมาได้

แต่ช่างหัวตัวผู้มันเถอะ ไฮไลท์หลักของตำนานเซลกี้อยู่ที่สาวๆอยู่แล้ว ซึ่งก็คล้ายๆตำนานของสาวกินรีที่มีอยู่ดาดดื่นแถบเอเชียเรา(นางมโนราห์ไง) คือหนุ่มๆมักจะไปเจอหนังแมวน้ำที่เซลกี้สาวถอดทิ้งไว้แล้วเอาไปซ่อน ซึ่งเซลกี้สาวที่ไม่มีหนังแมวน้ำนั้นจะคืนร่างเดิมไม่ได้และต้องยอมเป็นภรรยาของชายผู้นั้นไปโดยปริยาย แต่พวกเธอนั้นไม่ใช่มนุษย์ เกือบทั้งหมดจึงอยู่ในสภาพหดหู่มากและเอาแต่นั่งมองทะเลที่เป็นบ้านเกิดอย่างเหม่อลอยบ่อยๆ (และจริงๆแล้ว หลายๆนางก็มีลูกมีสามีเป็นเซลกี้ด้วยกันอยู่แล้ว) ในเรื่องราวของเซลกี้เกือบทั้งหมดนั้นจบลงที่เซลกี้จะหาเจอหนังแมวน้ำของตนแล้วกลับทะเลไปโดยไม่โผล่หน้ามาหาสามีอีก (แต่ถ้ามีลูกกันแล้วจะแอบมาหาลูกโดยไม่ให้สามีรู้) ว่ากันว่าถ้าผู้เป็นสามีใจดำพอและเผาหนังแมวน้ำนั่นทิ้งได้เธอก็จะคืนร่างไม่ได้อีกเลย

ที่บอกว่า"เกือบทั้งหมด"เพราะมีเรื่องของเซลกี้ที่รักกับหนุ่มประมงจริงๆจังๆอยู่ด้วยครับ เรื่องนี้จบต่างออกไปคือตัวสามีออกเรือแล้วเจอพายุหนัก เซลกี้เลยตัดสินใจสวมหนังแมวน้ำแล้วออกทะเลไปช่วยสามีจากเรือที่กำลังล่ม ปรากฏว่าจบเศร้ายิ่งกว่าเพราะเซลกี้ในเรื่องนี้เมื่อสวมหนังแมวน้ำอีกครั้งจะกลับคืนร่างมนุษย์ไม่ได้อีก...

[Image: selkie_2g1.jpg]
เซลกี้ในเกมเอลเดอร์ไซน์

[Image: yande_re205803620sample.jpg]
เซลกี้กับโรอาเน ในสารานุกรมเทพธิดา&แฟรี
[-] The following 5 users say Thank You to Kuruni for this post:
  • arkman, dreamknight, motley, Neoz Kaho, นิราจ
Reply
#6
แถมให้หน่อยด้วย เซลกี้ใน Monster Girl Encyclopediaครับ (เป็นตัวเดียวที่ไม่ต้องเซนเซอร์เลย) (อันนี้ของมีลิขสิทธิ์นะ)

[Image: 235_selkie_l.jpg]
ตระเราล นางเงือก
ประเภท บีสต์เมน
ที่อยู่อาศัย พื้นที่หิมะ (ในทะเลกับตามชายหาด)
นิสัย เข้มแข็ง หัวดื้อ
อาหาร กินเนื้อ ส่วนใหญ่แล้วเป็นปลากับสัตว์ป่า

นางเงือกสายพันธุ์แมวน้ำที่ห่มขนวิเศษไว้รอบๆตัว ดูเหมือนมาสค็อตการ์ตูน พวกเธอดำรงชีพด้วบปลาและสัตว์ป่า จึงพบเห็นบนบกได้บ่อยพอๆกับในน้ำและชอบล่าสัตว์มาก พลังเวทมนตร์ของพวกเธอจะแทรกซึมเข้าไปในหนังที่สวมอยู่ มันจึงอุ่นมากและทำให้พวกเธอใช้ชีวิตในทะเลหรือบนชายฝั่งแถบหนาวเหน็บได้ พวกเธอสามารถถอดขนสัตว์ที่สวมอยู่และเผยร่างซึ่งเป็นมนุษย์สาวผู้งดงามได้ตามใจ เซลกีที่อยู่ในสภาพนี้จะไม่ต่างจากมนุษย์ผู้หญิงธรรมดาเลย

แม้จะมีนิสัยจริงจังและหัวดื้อ พวกเธอก็ไม่ได้ดุร้ายกับมนุษย์ผู้ชาย ซึ่งเป็นเพราะขนสัตว์อุ่นๆที่สวมอยู่นั้นทำให้เธอรู้สึกสบายมากจนไม่ต้องการผู้ชาย แต่ก็เพราะอย่างนั้น เซลกีที่ถอดขนออกแล้วจะขี้กลัวและว้าแหว่ เป็นความหนาวเย็นที่ค่อยๆแทรกเข้าไปในร่างกายและจิตใจของเธอ จนในที่สุดก็จะทำให้หัวใจสั่นสะเทือน และพฤติกรรมแบบสัตว์ประหลาดก็จะเผยออกมา

ปกติแล้วเซลกีจะปฏิบัติต่อผู้ชายแบบไม่มีอะไรพิเศษ แต่เซลกีที่ถอดขนแล้วและอยู่ในสภาพ"หนาวเย็น"จะหาความอบอุ่นจากผู้ชาย ฉะนั้นถ้าเห็นพวกเธอถอดชุดออกก็ระวังตัวไว้ อนึ่ง เซลกีมักจะถอดชุดออกตอนล่าสัตว์เพื่อไม่ให้มันฉีกขาด มนุษย์เพศชายจึงควรหลีกเลี่ยงเซลกีที่กำลังล่าสัตว์ เพราะจะถูกเธอล่าซะเอง

หากเซลกี้ได้สัมผัสความอบอุ่นจากผู้ชายสักครั้งแล้ว ต่อให้สวมขนสัตว์อยู่เธอก็จะอยากได้ความอบอุ่นของผู้ชายมากกว่า นอกจากนั้น ถ้าเซลกีเห็นผู้ชายคนไหนเป็นสามีแล้ว เธอก็จะชอบให้เขาแสดงความรักโดยการสวมกอดเพื่อแบ่งปันความอบอุ่นให้ เมื่อมีคนที่รัก สิ่งที่เธอต้องการที่สุดก็คือความรักขอเขาและความอบอุ่นที่ถ่ายทอดเข้ามาในร่าง

ขนสัตว์ของพวกเธอนั้นเป็นของวิเศษ มัยจึงขยับและมีปฏิกิริยาเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของตัวเธอเอง ในช่วงที่หนาวมากๆนั้น ผู้เป็นภรรยาก็มักจะห่มมันด้วยกันกับสามีเพื่อให้พลังของมันปกป้องจากความหนาวเย็นขณะที่ทั้งคู่สวมกอดกันและกัน มีหลายคู่เลยที่ใช้มันเป็นถุงนอนตอนกลางคืน และเซลกีหลายๆนางก็ทิ้งมันไว้ให้สามีดูแลตอนที่เธอไปล่าสัตว์ในเวลากลางวัน
[-] The following 4 users say Thank You to Kuruni for this post:
  • arkman, motley, Neoz Kaho, นิราจ
Reply
#7
ถ้าแมวน้ำบูจูหน้าตาแบบนี้ คงได้ขึ้นหัวเว็บเป็นแน่แท้
Show ContentSpoiler:
[Image: Signature-Ralph.png]
Reply
#8
ตัวนี้น่าจะรู้จักกันดี...เอามาลงเพราะภาพน่ะนะ

องค์หญิงคางุยะ หรือ นาโยทาเกะโนะคางุยะฮิเมะ (เจ้าหญิงแห่งลำไผ่ที่ส่องประกาย) ได้ชื่อมาจากที่พ่อบุญธรรม คนตัดไผ่ไปเจอเข้าตอนที่ไปเจอลำไผ่ที่ส่องแสง เมื่อตัดเข้าให้ก็เจอกับทารกหญิงตัวนิดเดียวอยู่ข้างใน คนตัดไผ่และภรรยานั้นไม่มีลูกเลยเอาไปเลี้ยงด้วยความรักใคร่ ซึ่งยังเกิดเรื่องประหลาดคือหลังจากนั้นแล้วคนตัดไผ่ก็มักจะเจอทองก้อนเล็กๆอยู่ในลำไผ่ที่ตัดมาด้วย ไม่นานนักก็รวยอู้ฟู่
[Image: kaguya_1g1.jpg]
คางุยะนั้นโตขึ้นมาเป็นNEETสาวงาม ถึงพ่อบุญธรรมจะหวงก็ไม่วายมีเจ้าชายมาขอแต่งงานถึงห้าคน คนตัดไผ่ปฏิเสธไม่ไหวเลยต้องขอให้คางุยะเลือกเอาสักคน คางุยะกลับให้เควสต์ บอกให้ทั้งห้าไปหาแรร์ไอเท็มมาพิสูจน์ตนเอง เจ้าชายทั้งห้านั้นบ้างก็คิดย้อมแมวแต่ก็ถูกคางุยะจับได้ (เธอคงมีสกิลitem identifyน่ะ) ที่เหลือนั้นมีทั้งที่ม่องเท่งกลางทางแล้วก็ที่เกิดปัญญานึกขึ้นได้ว่าตูมาทำบ้าอะไรอยู่ที่นี่ เลยเลิกแล้วกลับบ้าน

พอได้ยินเรื่องเหล่านี้ จักรพรรดิมิคาโดะแห่งญี่ปุ่นก็ลยเดินทางมาพบคางุยะด้วยตนเองดูว่าเป็นสาวสวยขนาดไหน มิคาโดะตกหลุมรักคางุยะเข้าเต็มเปา ถึงคางุยะจะไม่ได้บอกให้มิคาโดะไปหาไอเท็มพิลึกๆมา แต่ก็ปฏิเสธไม่ยอมแต่งงานด้วยเหมือนกัน
[Image: kaguya_0g1.jpg]
เวลาผ่านไปอีกนานโข อยู่มาวันหนึ่งคางุยะก็มองดูพระจันทร์เต็มดวงแล้วก็ร้องไห้ เธอบอกกับพ่อแม่บุญธรรมว่าเธอไม่ใช่คนของโลกนี้ แต่เป็นชาวจันทราที่ถูกส่งมาโลกเพราะเหตุบางอย่างตั้งแต่เป็นทารก และอีกไม่นานเธอก็ต้องกลับไปยังนครหลวงของชาวจันทราแล้ว พอมิคาโดะทราบเรื่องก็ส่งทหารมาคุ้มกันคางุยะ แต่พอถึงเวลาที่ชาวจันทรามารับตัวคางุยะก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยสักนิด คางุยะมอบจดหมายสั่งลาให้พ่อแม่บุญธรรมกับจักรพรรดิ พร้อมกับแนบยาอมตะให้ในจดหมายของมิคาโดะด้วย
[Image: kaguya_2g1.jpg]
...ก่อนจะคาดผ้าคลุมขนนกที่ทำให้ลืมความรักและความผูกพันธ์ที่มีกับชาวโลกไปจนหมดแล้วก็จากไป ยาอมตะที่คางุยะมอบให้มิคาโดะนั้น มิคาโดะได้ให้ทหารเอาไปเผาพร้อมกับจดหมายที่ภูเขาซึ่งต่อมาก็คือภูเขาไฟฟุจิ

...อย่างที่รู้ๆกันว่าเรื่องนี้ชาวญี่ปุ่นหัวใสชอบเอามาแปลงเป็นแนวกึ่งๆไซไฟมนุษย์ต่างดาว (ส่วนตัวแล้วชอบการตีความในเกม SRW Endless Frontier ที่ว่าจริงๆแล้วคนที่สามารถรั้งคางุยะไว้บนโลกได้ก็คือตัวคางุยะเองนั่นล่ะ ในเมื่อเจ้าตัวไม่มีใจจะขัดขืนเต็มที่ คนอื่นๆจะทำยังไงก็เลยรั้งเธอไว้ไม่ได้)

ภาพประกอบจากเกม Elder Signอีกแล้ว แต่ในเกมภาพสองเป็นตัวแรกเริ่ม อีกสองภาพเป็นอัพเกรดแล้ว (อ่านมาในเว็บอมเซอน เกมนี้มีระบบ Beauty & Beast...ตัวนี้แสดงได้ชัดเจนดีนะ) ที่เด่นหน่อยคือตัวนี้มาจากตำนาน แต่ถูกจัดหมวดไว้เป็นพวกเดียวกับคธูลู
[-] The following 3 users say Thank You to Kuruni for this post:
  • motley, Neoz Kaho, นิราจ
Reply
#9
And then Kaguya was an Alien.
[Image: 7wDGQYA.png][Image: 76561197983021669.png]
Reply
#10
อืม พอมีแหล่งรูปสวยๆงามๆแล้วเขียนได้คล่องดีแฮะ

รอบนี้เป็นภูตแมวๆหมาๆครับ แถมด้วยหนอนหนึ่งตัว

[Image: caitsith_0g1.jpg]
แคทซิธ (Cat sith) เคทซิธ (Cait Sith) หรือ แคทซิด (Cat Sidhe) บ้านเราน่าจะจำกันได้แค่ว่ามาจากไฟนอล7 แต่จริงๆแล้วมีที่มาจากตำนานของชาวเคลต์ แล้วก็สก็อตแลนด์กับไอริช ซึ่งว่ากันว่ามันเป็นภูตแมวสีดำปลอด ยกเว้นที่หน้าอกซึ่งมีแต้มสีขาว ตัวโตพอๆกับสุนัข บ้างก็ว่าแคทซิธไม่ใช่ภูต แต่เป็นร่างแปลงของแม่มด ซึ่งแม่มดนั้นจะแปลงร่างเป็นแมวแล้วกลับเป็นคนได้แปดครั้ง แต่ถ้าแปลงร่างถึงเก้าครั้งแล้วจะกลับคืนร่างไม่ได้อีก

แถบสก็อตแลนด์นั้นมีความเชื่อว่าเมื่อมีคนตาย แคทซิธจะแอบลอบเข้าไปใกล้กับศพที่กำลังเตรียมการฝัง แล้วขโมยวิญญาณไปก่อนที่จะได้ทำพิธีส่งไปสวรรค์ ชาวสก็อตจึงจัดยามไว้เฝ้าศพทั้งวันทั้งคืน ให้มีการละเล่นต่างๆ(รื่นเริงเลยทีเดียว)ตกหนักงออกไปจากที่ตั้งศพไม่มากเพื่อเรียกความสนใจจากแคทซิธ แล้วก็ห้ามก่อกองไฟใกล้กับศพ เพราะแคทซิธจะเข้าไปผิงไฟ แต่ทางไอริชนั้นเชื่อว่าในช่วงเทศกาล Samhain นั้น ถ้าวางจานใส่นมไว้นอกบ้านแล้วแคทซิธก็จะมากินแล้วทำให้โชคดี แต่บ้านไหนที่ไม่วางไว้ให้ก็จะถูกสาปให้รีดนมวัวไม่ได้

ที่อังกฤษยังมีนิทานเรื่องราชาแห่งแมว (The King of the Cats) ซึ่งชายคนหนึ่งกลับมาบ้านแล้วเล่าให้ภรรยาและแมวที่เลี้ยงไว้ฟังว่า ตนไปเจอแมวดำเก้าตัวที่มีจุดขาวที่หน้าอกกำลังแบกโลงศพที่มีมงกุฏอยู่ด้วย แมวตัวหนึ่งนั้นบอกเขาว่า "บอกทอม ทิลดรัมด้วยว่าทิม ทอลดรัมตายแล้ว" แมวที่เลี้ยงไว้ก็ตะโกนขึ้นทันที "อะไรนะ?! ตาเฒ่าทิมตายแล้ว! งั้นข้าก็เป็นราชาแห่งแมวแล้วสิ!" ทอมปีนออกไปจากบ้านทางปล่องไฟแล้วไม่กลับมาอีก (...ไม่แน่ใจว่าสาระอยู่ตรงไหนแฮะ...)

[Image: cu-sith_0g1.jpg]
แถบสก็อตนี้ยังมีความเชื่อเรื่องภูตสุนัขชื่อคูซิธ (Cu Sith)ว่ามีหน้าตาเหมือนหมาป่า แต่ตัวโตเหมือนกระทิง และมีขนดกยาวซึ่งเป็นสีเขียวเข้มหรือขาว อุ้งวัยรุ่นของคูซิธนั้นกว้างพอๆกับมือคน

คูซิธนั้นเป็นผู้นำทางวิญญาณของมนุษย์ไปยังยมโลก ฉะนั้นคนที่เจอคูซิธก็เท่ากับว่าถึงฆาตแล้ว ซึ่งปกติแล้วคูซิธจะไปรับเหยื่ออย่างเงียบๆ แต่บางครั้งคูซิธก็จะหอนดังๆสามครั้ง ในกรณีนี้ว่ากันว่าถ้าหาที่ที่ปลอดภัยหลบอยู่ได้ก่อนคูซิธจะหอนถึงครั้งที่สามก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าไม่ทันก็จะขาดใจตายลงตรงนั้น บางครั้งคูซิธยังรับหน้าทีลักพาตัวผู้หญิงที่มีน้ำนมเพื่อให้ไปเลี้ยงภูตเด็กๆ ในกรณีนี้ คูซิธก็จะหอนเตือนให้พาผู้หญิงเข้าห้องให้มิดชิดก่อนเหมือนกัน
[Image: 58044.jpg]
แคทซิธกับคูซิธ

[Image: gooseberry-wife_1g1.jpg]
ของแถม ตามความเชื่อของอังกฤษ บนเกาะไวท์ (Isle of Wight) นั้น ตามต้นเราสเบอรีจะมีภูตที่เรียกว่าเราสเบอรีไวฟ์ (Gooseberry Wife - ภรรยาเราสเบอรี) ที่คอยป้องกันลูกเราสเบอรี ซึ่งถ้ามีเด็กแอบดอดเข้าไปเก็บก็จะถูกเราสเบอรีไวฟ์ซึ่งเป็นหนอนขนขนาดยักษ์จับกิน (ชื่อออกจะชวนจิ้น...) แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็แค่เรื่องที่พ่อแม่แต่งไม่ให้ลูกๆแอบไปเก็บลูกเราสเบอรีมากินตัดหน้า แต่ที่มาของเราสเบอรีไวฟ์ก็คงเป็นเพราะในอังกฤษมีหนอนขนตัวโตๆอยู่มากทีเดียว
[-] The following 1 user says Thank You to Kuruni for this post:
  • motley
Reply


Forum Jump:


Users browsing this thread: 1 Guest(s)